คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5654/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ผลิตขายน้ำตาลทรายดิบให้องค์การคลังสินค้าภายในประเทศ โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ใช้บังคับในขณะโจทก์เสียภาษีการค้า และตาม พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 บัญชีท้าย พระราชกฤษฎีกาบัญชีที่ 1 หมวด 1(7) แต่เนื่องจากได้มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 18) เรื่องกำหนดหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง กำหนดให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อนละ 7 ของรายรับ ดังนั้น แม้โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ เมื่อจำเลยได้ประกาศผลักภาระการเสียภาษีให้แก่ผู้ส่งออกต้องชำระภาษีการค้าในอัตราภาษีร้อยละ 7 ของรายรับเสียแล้ว เท่ากับจำเลยยอมเปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตเป็นผู้ส่งออก จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าภาษีการค้าให้โจทก์ ตามมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับขณะโจทก์ต้องเสียภาษีอากรกำหนดให้ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 133(พ.ศ. 2516)ข้อ 1(2) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามแบบแสดงรายการให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรเป็นต้นไป และเมื่อโจทก์ขอให้จำเลยรับผิดใช้ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งไม่มากกว่าอัตราที่มาตรา 4 ทศ วรรคแรกกำหนดไว้จึงให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์ใน อัตราตามที่โจทก์ขอ แต่ไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบกับองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยมอบให้บริษัทน้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด เป็นคู่สัญญาซื้อขายแทนโจทก์จำนวน 111,748 กระสอบ ในจำนวนนี้มีส่วนของบริษัทโจทก์อยู่23,137 กระสอบ ในราคากระสอบละ 700 บาท เป็นจำนวนเงินส่วนของโจทก์ทั้งสิ้น 16,198,934.95 บาท ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวระบุชัดว่า เป็นการซื้อขายน้ำตาลทรายดิบ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าฉบับที่ 18 ข้อ 3 ต่อมาเดือนสิงหาคม 2523 จำเลยสั่งให้สรรพากรจังหวัดดำเนินการจัดเก็บภาษีการค้าจากการขายน้ำตาลทรายดิบของโรงงานต่าง ๆ ที่ขายน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้าและแจ้งแก่อุปนายกสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยให้แจ้งแก่โรงงานผลิตน้ำตาลที่เป็นสมาชิกของสมาคมที่มีรายรับจากการขายน้ำตาลทรายดิบแก่องค์การคลังสินค้าให้นำเงินไปชำระภาษีการค้าซึ่งโจทก์เป็นสมาชิกอยู่ด้วย โจทก์ไปยื่นเสียภาษีการค้าจากการขายน้ำตาลทรายดิบจำนวน 23,137 กระสอบ ยอดเงินรายรับ16,198,934.95 บาท ให้กับสรรพากรจังหวัดราชบุรี เป็นเงินค่าภาษีทั้งสิ้น 1,175,547.57 บาท โจทก์เห็นว่า โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าเพราะโจทก์เป็นผู้ผลิตและไม่ใช่เป็นผู้ส่งออกน้ำตาลทรายดิบจำนวนนี้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2532 โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนภาษีการค้าที่ได้เสียไปจากการขายน้ำตาลทรายดิบ จำนวน 1,275,547.57 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยที่พึงจะได้รับตามกฎหมายต่อกรมสรรพากรจนถึงวันฟ้องนี้โจทก์ก็ยังไม่ได้รับเงินค่าภาษีอากรคืน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดตั้งแต่วันที่โจทก์ขอคืน ขอให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์เป็นเงิน 1,275,547.57 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยทั้งสิ้น 108,687 บาท รวมเป็นยอดเงินที่จำเลยต้องชดใช้คืนแก่โจทก์ทั้งสิ้น 1,384,234.57 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของยอดเงินที่จะต้องชำระคืน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินคืนให้แก่โจทก์จนเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาที่ทำสัญญาซื้อขายน้ำตาลทราบดิบกับองค์การคลังสินค้า หากแต่เป็นบริษัทน้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด ที่เป็นคู่สัญญา การที่โจทก์ชำระภาษีการค้าประจำเดือนภาษี มิถุนายน กรกฎาคม และ กันยายน 2523รวม 1,275,547.57 บาทไป จึงไม่เกี่ยวกับการที่บริษัทน้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด ขายน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้า ตามสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบลงวันที่9 มิถุนายน 2523 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนเงินภาษีการค้าที่โจทก์ได้ชำระไปดังกล่าว และหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบให้บริษัทน้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด เป็นคู่สัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบกับองค์การคลังสินค้า โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีการค้า เพราะโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าจึงต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 ในอัตราภาษีร้อยละ 7ของรายรับตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) ที่ให้ผู้ประกอบการค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตมีหน้าที่เสียภาษี และตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517มาตรา 5(8) บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาบัญชีที่ 1 หมวด 1(7)ส่วนดอกเบี้ยตามที่โจทก์ขอมาในกรณีต้องคืนเงินภาษีอากรตามที่โจทก์ได้ชำระไว้แล้ว การคิดดอกเบี้ยต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 133 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินค่าภาษีอากรที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลย และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอศาลพิพากษาฟ้องโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เรียกภาษีอากรคืนจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 ในขณะโจทก์เสียภาษีการค้า บัญญัติว่า “ผู้ประกอบการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวดนี้ มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้าดังกล่าวนั้น” มาตรา 78 วรรคสอง (2) บัญญัติว่า “ในกรณีอื่นให้เสียภาษีในอัตรารวมกันเท่ากับที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้า”โจทก์เป็นผู้ผลิตขายน้ำตาลทรายดิบให้องค์การคลังสินค้าภายในประเทศโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามบทกฎหมายดังกล่าว และตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาบัญชีที่ 1 หมวด 1(7) แต่เนื่องจากได้มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 18)เรื่องกำหนดหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2517 ข้อ 3ให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 008 ดังนั้น แม้ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าแก่จำเลยในอัตราภาษีร้อยละ 7 ของรายรับ เมื่อจำเลยได้ประกาศผลักภาวะการเสียภาษีให้แก่ผู้ส่งออกต้องชำระภาษีการค้าเต็มในอัตราภาษีร้อยละ 7 ของรายรับเสียแล้วเท่ากับจำเลยยอมเปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตมาเป็นผู้ส่งออก จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าภาษีการค้าตามฟ้องให้แก่โจทก์
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่โจทก์ขอคืนภาษีอากรคือตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 นั้น มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับขณะโจทก์ต้องเสียภาษีอากรตามฟ้องบัญญัติว่า ให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยด้วยในอัตราร้อยละ 0.625ต่อเดือนหรือ เศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวงแต่มิให้เกินกว่าจำสวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 133 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 1(2) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามแบบแสดงรายการ ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนในวันที่ 10 เมษายน 2532จึงครบกำหนดระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรวันที่ 10 กรกฎาคม 2532 ต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2532 เป็นต้นไป และโจทก์ขอให้จำเลยรับผิดใช้ดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งไม่มากกว่าอัตราที่มาตรา 4 ทศ วรรคแรก บัญญัติไว้ จึงให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์ในอัตราตามที่โจทก์ขอแต่ไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศ วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรตามฟ้องจำนวน1,275,547.57 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 11 มกราคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยทั้งหมดต้องไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืน

Share