คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ส.ตกลงให้จำเลยเป็นนายหน้าขายที่ดินของส.และที่ดินของโจทก์ร่วมโดยสัญญานายหน้ามีข้อตกลงว่า จำเลย จะต้องนำดินลูกรังมาถมในที่ดินดังกล่าวให้สูงขึ้นประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้ขายได้ราคาสูงขึ้น การที่จำเลย สั่งให้ ค. ขุดทรายแก้วในที่ดินของโจทก์ร่วมโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของตน และทำสัญญาขุดทรายกับ ค. โดยระบุว่าจำเลยได้รับมอบอำนาจมาจาก ว. และ ป. มิได้ระบุว่ารับมอบอำนาจมาจากโจทก์ร่วม เมื่อ ว. มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว คงมีเพียง ป. เท่านั้นที่มีชื่อเป็นเจ้าของรวมในที่ดิน แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาปกปิด ข้อเท็จจริงไม่ให้ ค. ทราบว่าที่ดินเป็นของโจทก์ร่วมปรากฏว่าจำเลยขายทรายแก้วที่ขุดได้ให้แก่ ค. ในราคาถึง87,000 บาท โดยมิได้นำเงินนั้นมอบแก่โจทก์ร่วม นับว่าเป็นการ กระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองแล้ว การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจริต มิใช่การกระทำตามสัญญาโดยอาศัยสิทธิอันชอบธรรม เพื่อ ผลประโยชน์ของคู่สัญญาอันเป็นเรื่องทางแพ่ง แต่เป็น ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์โดยขุดตักทรายแก้วจำนวน 250 เที่ยวรถบรรทุกราคา 87,000 บาท ในที่ดินของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้จำเลยคืนทรายแก้ว 250 เที่ยวรถบรรทุก หรือใช้ราคาทรัพย์ 87,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสาวศิตรี กาญจนาคมานันท์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี และให้จำเลยคืนทรายแก้ว250 เที่ยวรถบรรทุก หรือใช้ราคา 87,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงว่าการที่จำเลยขุดตักเอาทรายแก้วของโจทก์ร่วมไปเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตหรือไม่ คดีได้ความว่า แต่เดิมนางสมบัติตกลงให้จำเลยเป็นนายหน้าขายที่ดินของนางสมบัติและที่ดินของโจทก์ร่วมตามสัญญานายหน้าเอกสารหมาย จ.6โดยตกลงกันว่าจำเลยจะต้องนำดินลูกรังมาถมในที่ดินดังกล่าวให้สูงขึ้นประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้ขายได้ราคาสูงขึ้นจากนั้นจำเลยตกลงให้นายคเชนทร์ขุดทรายให้ตามสัญญาขุดทรายแล้วถมดินเอกสารหมาย จ.7 ปรากฏว่านายคเชนทร์ขุดทรายแก้วในที่ดินของโจทก์ร่วมโดยจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินของตน ซึ่งการขุดทรายแก้วดังกล่าวโจทก์ร่วมไม่มีส่วนรู้เห็นยินยอมด้วยสำหรับทรายแก้วที่ขุดได้ จำเลยขายให้นายคเชนทร์ไปในราคา87,000 บาท เห็นว่า การที่จำเลยสั่งให้นายคเชนทร์ขุดทรายแก้วในที่ดินของโจทก์ร่วมโดยโจทก์ร่วมไม่มีส่วนรู้เห็นยินยอมด้วยโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของตน กับทำสัญญาขุดทรายกับนายคเชนทร์ตามเอกสารหมาย จ.7 ระบุว่าได้รับมอบอำนาจมาจากนางวัทนณีวิจิตรศิลป์ และนายประเสริฐ วิจิตรโสภณ มิได้ระบุว่ารับมอบอำนาจมาจากโจทก์ร่วมหรือนางสมบัติทั้งนางวัทนณีก็ไม่ปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอย่างไรมีเพียงนายประเสริฐเท่านั้นที่มีชื่อเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงไม่ให้นายคเชนทร์ทราบว่าที่ดินเป็นของโจทก์ร่วมและนางสมบัติ สอดคล้องกับที่นายคเชนทร์เบิกความ ทั้งตามเอกสารหมาย จ.7 ดังกล่าวในข้อ 1 ระบุว่าให้ขุดแล้วถมดินลูก รังจืด เท่าหน้าดินเดิมมิใช่ปรับหน้าดินโดยนำลูกรังมาถมให้มีความสูงขึ้น 50 เซนติเมตรตามสัญญานายหน้าเอกสารหมาย จ.6 นอกจากนี้จำเลยได้ขายทรายแก้วที่ขุดได้ให้แก่นายคเชนทร์ในราคาถึง 87,000 บาท ซึ่งมิใช่จำนวนเล็กน้อย โดยมิได้นำเงินที่ได้มามอบให้โจทก์ร่วมนับว่าเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองแล้ว ที่จำเลยอ้างว่ากระทำไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการถมดินหรือทำให้หน้าดินแน่น จึงฟังไม่ขึ้นรูปคดีจึงชี้ชัดได้ว่า การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจริตกรณีมิใช่จำเลยกระทำตามสัญญาและอาศัยสิทธิโดยชอบธรรมเพื่อผลประโยชน์ของคู่สัญญาทุกฝ่ายอันเป็นเรื่องทางแพ่งดังจำเลยอ้าง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share