แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายถูกชกต่อยทุบทำร้ายบริเวณใบหน้าถึง 10 กว่าครั้ง ย่อมได้รับความปวดเจ็บ ไม่น่าจะมองเห็นได้ถนัดชัดเจน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน 2 นาฬิกาเศษแสงไฟฟ้าบริเวณที่เกิดเหตุมีเพียงหลอดไฟฟ้าขนาดเล็กเพียง 20 วัตต์ 2 หลอด ที่หน้าบ้านผู้เสียหายและ บ้านข้างเคียงไม่น่าจะสว่างเพียงพอให้เห็นได้ชัดเจน ทั้งปรากฏว่าคนร้ายสวมหมวกแก๊ป แสงสว่างของไฟฟ้า ที่อยู่ใต้กันสาดบ้านผู้เสียหายและบ้านข้างเคียงย่อมอยู่สูง กว่าศีรษะของคนร้ายทำให้เกิดเงามืดบริเวณใบหน้าคนร้าย ที่สวมหมวกแก๊ป ดังกล่าว ผู้เสียหายย่อมไม่อาจมองเห็น ใบหน้าคนร้ายได้ถนัดชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลา ตั้งแต่คนร้ายลงมาล็อกคอจนขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าเป็นเวลาประมาณ 1 นาที เท่านั้น เมื่อผู้เสียหายซึ่งไม่เคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อนและ ถูกทำร้ายทั้งชกต่อยทุบและกระทืบบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง จนได้รับอันตรายสาหัสจึงไม่น่าจะมีโอกาสเห็นและจำหน้า คนร้ายได้ ประกอบกับการสอบปากคำผู้เสียหายในครั้งแรกผู้เสียหายกล่าวว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ และยืนยันว่าผู้เสียหายไม่ยอมชี้ตัวคนร้าย ดังนี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น จึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกชิงทรัพย์ผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันลักเอาทรัพย์9 รายการ ราคา 5,050 บาท ของนางสาวสุปราณี เอื้อกุลวราวัตรผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยและกระทืบผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุมโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7676/2539 ของศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339, 340 ตรี และให้จำเลยคืนทรัพย์ของผู้เสียหายหรือใช้ราคาเป็นเงิน 5,050 บาทกับนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7676/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339 วรรคสี่, 340 ตรีให้จำคุก 22 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามมาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 15 ปี ให้จำเลยคืนทรัพย์ของผู้เสียหายตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำฟ้อง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 5,050 บาท ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7676/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์กล่าวในฟ้อง นางสาวสุปราณี เอื้อกุลวราวัตรผู้เสียหายถูกคนร้ายร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกกระทำความผิดหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำคนร้ายที่เข้ามาชกต่อยและกระทืบใบหน้าได้ว่าเป็นจำเลยซึ่งเป็นคนที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ส่วนคนร้ายที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์จำไม่ได้ เห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้เสียหาย ขณะที่คนร้ายเข้ามาล็อกคอด้านหลังจนผู้เสียหายล้มลง คนร้ายขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายและชกต่อยทุบทำร้ายบริเวณใบหน้าผู้เสียหาย 10 กว่าครั้งนั้นผู้เสียหายยังไม่เห็นหน้าของคนร้าย แต่เมื่อคนร้ายจะก้าว ขึ้นรถจักรยานยนต์ ผู้เสียหายถามคนร้ายว่า เหตุใดจึงมาทำร้ายคนร้ายจึงลงจากรถจักรยานยนต์และเดินตรงเข้ามาหาผู้เสียหายผู้เสียหายจึงเห็นหน้าคนร้ายในขณะนั้นและจำได้ว่าเป็นจำเลยดังนี้ ผู้เสียหายถูกชกต่อยทุบทำร้ายบริเวณใบหน้าถึง 10 กว่าครั้งย่อมได้รับความเจ็บปวดไม่น่าจะมองเห็นได้ถนัดชัดเจนขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน 2 นาฬิกาเศษ แสงไฟฟ้าบริเวณที่เกิดเหตุก็มีเพียงหลอดไฟฟ้าขนาดเล็กเพียง 20 วัตต์2 หลอด ที่หน้าบ้านผู้เสียหายและบ้านข้างเคียงไม่น่าจะสว่างเพียงพอให้เห็นได้ชัดเจน ทั้งปรากฏว่าคนร้ายดังกล่าวสวมหมวกแก๊ป แสงสว่างของไฟฟ้าที่อยู่ใต้กันสาดบ้านผู้เสียหายและบ้านข้างเคียงย่อมอยู่สูงกว่าศีรษะของคนร้ายทำให้เกิดเงามืดบริเวณใบหน้าคนร้ายที่สวมหมวกแก๊ป ดังกล่าวผู้เสียหายย่อมไม่อาจมองเห็นใบหน้าคนร้ายได้ถนัดชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เสียหายเบิกความตอบพนักงานอัยการโจทก์ถามติงว่า ตั้งแต่คนร้ายลงมาล็อกคอจนขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปนั้นเป็นเวลาประมาณ 1 นาที เท่านั้น ผู้เสียหายซึ่งไม่เคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อนและถูกทำร้าย ทั้งชกต่อยทุบและกระทืบบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรงจนได้รับอันตรายสาหัสไม่น่าจะมีโอกาสเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ซึ่งพันตำรวจโทกฤษณ์ เทียบรัตน์ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ก็มาเบิกความยืนยันว่าจากการสอบปากคำผู้เสียหายในครั้งแรกผู้เสียหายกล่าวว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ และยืนยันว่าผู้เสียหายไม่ยอมชี้ตัวคนร้าย ดังนี้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นจึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกชิงทรัพย์ผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์