คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภริยาเอาเงินสินสมรสไปซื้อสวนแล้วโอนใส่ชื่อบุตรของตนซึ่งเกิดกับสามีก่อนโดยเสน่หา โดยสามีมิได้ยินยอม ระหว่างที่สามีบอกล้างและฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้น ภริยากับบุตรเลี้ยงโอนขายที่ดินนั้นให้ผู้อื่น ดังนี้ สามีฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้ทั้ง 2 ราย
และเมื่อสามีถอนฟ้องคดีก่อน ซึ่งฟ้องภริยาและบุตรเลี้ยง มาฟ้องใหม่โดยฟ้องภริยา บุตรเลี้ยง และบุคคลภายนอกผู้รับโอนในคดีเดียวกันดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
คดีโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้เสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ที่พิพาท 4500 บาท และจำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ที่พิพาทเช่นเดียวกัน ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางต่อมภริยาโจทก์ได้เอาเงินสินสมรสไปซื้อที่สวน 1 แปลงราคา 1,000 บาท ลงชื่อนางต่อมผู้เดียวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมา 3 วันนางต่อมได้ลงชื่อนายเยื้อนบุตรของสามีเดิมถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดโดยเสน่หา โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ๆ ได้บอกล้างและฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามคดีดำที่ 177/2490 คดีระหว่างพิจารณา นางต่อมนายเยื้อนทำสัญญาโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นางจัน โจทก์จึงถอนฟ้องคดีดำที่ 177/2490 มา้องจำเลยทั้ง 3 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมทั้ง 2 ราย

นางต่อม, นายเยื้อนขาดนัดยื่นคำให้การ

นางจันให้การว่า ซื้อโดยสุจริต สวนพิพาทนางต่อมได้มาจากนายโต, นางอิน ภายหลังหย่าร้างกับโจทก์ และโจทก์ฟ้องซ้ำ

ก่อนพิจารณาคู่ความตกลงกำหนดราคาทุนทรัพย์รายพิพาท 4,500 บาท

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้เพิกถอนนิติกรรมทั้ง 2 ราย ให้ที่ดินคืนสภาพเป็นของนางต่อมและลงชื่อโจทก์ร่วมด้วย

นางจันจำเลยฎีกา โดยเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทุนทรัพย์ 4,500 บาท

ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กับนางต่อมร้างกันได้ไม่กี่เดือน การโอนขายให้นางจันไม่สุจริตนางต่อมจำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์และไม่เชื่อว่านางอินยกให้ที่พิพาทแก่นางต่อม, นายเยื้อน เมื่อการซื้อขายระหว่างคนทั้ง 3 ไม่สุจริตแล้ว นางจันก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ร่วมของนางเยื้อนเช่นเดียวกัน

พิพากษายืน

Share