คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์สินเดิมของตนอันเป็นสินบริคณห์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462 ด้วยการยกให้โดยเสน่หา ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากภริยาตามมาตรา 1473 และ 1476 ประกอบด้วยมาตรา 525 และ 456
คดีมีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายได้ยินยอมให้ผู้ตายยกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสินเดิมของผู้ตายให้แก่ผู้อื่นโดยเสน่หาหรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือทั้งคดีไม่มีประเด็นว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม หรือเป็นการจำหน่ายเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวหรือไม่ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้ความยินยอม และพิพากษาให้แบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายและจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องชักสินสมรสไปใช้สินเดิมดังกล่าวของผู้ตายก่อน
การแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625(1) จะไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 1476 มาใช้ด้วยแต่มาตรา 1476 เป็นบทบังคับในเรื่องแบบของความยินยอม อันจะนำไปสู่บทบัญญัติเรื่องจะนำสินสมรสใช้คืนสินเดิมของคู่สมรสที่หย่าขาดจากกันได้หรือไม่เพียงใด ศาลย่อมยกขึ้นปรับกับคดีได้ หาเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1625(1)ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกผันและนางเอื้อนซึ่งสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2474 และได้หย่าร้างกันเมื่อประมาณ พ.ศ. 2492นาวาเอกผันได้ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2514 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ จำเลยที่ 1เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกผัน จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2493จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 อันเกิดกับนาวาเอกผัน จำเลยที่ 1 ไม่มีสินเดิม ส่วนนาวาเอกผันมีสินเดิม คือที่ดินโฉนดที่ 2341 พร้อมสิ่งปลูกสร้างถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางเอื้อน ต่อมาได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันเมื่อ พ.ศ. 2498นาวาเอกผันเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดใหม่เลขที่ 13125 พร้อมสิ่งปลูกสร้างครั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2508 นาวาเอกผันโดยความเห็นชอบของจำเลยที่ 1ได้ยกที่ดินสินเดิมพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โดยเสน่หาแก่จำเลยที่ 2, 3ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้มีราคาขณะนาวาเอกผันถึงแก่กรรมไม่ต่ำกว่า 1,500,000บาท และในระหว่างนาวาเอกผันกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันได้มีสินสมรสเกิดขึ้น คงเหลืออยู่ขณะถึงแก่กรรมและอยู่ในความครอบครองของจำเลยตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องราคาประมาณ 1,394,000 บาท ซึ่งตามกฎหมายจะต้องนำไปใช้สินเดิมที่ขาดไป แต่เนื่องจากมีราคาไม่พอใช้สินเดิมสินสมรสทั้งหมดจึงเป็นทรัพย์มรดกอันต้องนำมาแบ่งให้โจทก์และจำเลยทั้งสาม โดยโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสี่ ซึ่งขอตีราคาเป็นเงิน 348,000 บาท จำเลยไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับ 1 ถึง 8 หนึ่งในสี่ส่วน หากตกลงแบ่งไม่ได้ ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ และให้จำเลยแบ่งเงินค่าเช่าทรัพย์อันดับ 4 เป็นเงิน 5,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกผัน ไม่มีสิทธิรับมรดก จำเลยที่ 1 มีสินเดิม ส่วนนาวาเอกผันไม่มี ที่ดินโฉนดที่ 13125 มิใช่สินเดิมของนาวาเอกผัน และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวปลูกสร้างขึ้นใหม่หลังจำเลยที่ 1 สมรสกับนาวาเอกผันแล้ว มีราคารวมกันไม่ถึงจำนวนตามฟ้อง ที่นาวาเอกผันยกที่ดินโฉนดเลขที่ 13125 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้ความยินยอม และได้ให้เป็นสิทธิเด็ดขาดไปแล้วก่อนตาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องมีราคาไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท และหากมีอยู่ก็ตกเป็นสิทธิแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาททั้งสิ้น โจทก์แกล้งตีราคาต่ำลงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์ไม่เคยขอแบ่งมรดก ไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง และแม้จะมีสิทธิก็ไม่ได้ส่วนแบ่งตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า

1. โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกนาวาเอกผันผู้ตาย โดยโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเกิดกับนางเอื้อน

2. ที่ดินโฉนดที่ 13125 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง เป็นสินเดิมของผู้ตายขณะผู้ตายยกให้และขณะผู้ตายถึงแก่กรรมมีราคา 1,260,000 บาท และ

3. ในการสมรสระหว่างผู้ตายและจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีสินเดิมและทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1

คู่ความคงโต้เถียงและนำสืบพยานกันเพียงข้อดียวว่า การที่นาวาเอกผันผู้ตายยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามข้อ 2 ข้างต้นให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 นั้น ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ส่วนข้อเท็จจริงอื่น ๆ นอกจากนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามนำสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ 9 อันดับท้ายฟ้องมาใช้สินเดิมของนาวาเอกผันเป็นเงิน 1,260,000 บาท แล้วให้แบ่งทรัพย์หรือเงินสินเดิมแก่โจทก์ 1 ใน 4 ส่วน กับแบ่งสินสมรสที่เหลือให้โจทก์อีก 1 ใน 8 ส่วน การนำสินสมรสมาใช้สินเดิม และการแบ่งทรัพย์มรดก ถ้าไม่อาจตกลงกันได้ให้ประมูลราคาระหว่างกัน ถ้าประมูลราคากันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 5,000 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะแบ่งมรดกให้โจทก์เสร็จ

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามแบ่งสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน ให้จำเลยที่ 1 ได้หนึ่งส่วน อีกส่วนหนึ่งที่เหลือนั้นให้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่ากัน ให้โจทก์และจำเลยทั้งสามได้คนละ 1 ส่วน ถ้าการแบ่งเช่นว่านี้ไม่อาจตกลงกันได้ก็ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินสุทธิมาแบ่งกันตามส่วนแล้วแต่กรณี และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินค่าเช่าที่ดิน 2,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกผัน เกิดกับนางเอื้อนภรรยาเดิมซึ่งหย่าร้างกันไปเมื่อ พ.ศ. 2492 ต่อมา พ.ศ. 2493 นาวาเอกผันสมรสกับจำเลยที่ 1 โดยต่างมีสินเดิม ได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน คือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 และมีสินสมรสเกิดขึ้นตามรายการในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 13125 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเป็นสินเดิมของนาวาเอกผันและเป็นที่ที่นาวาเอกผันได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2341 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับนางเอื้อนภรรยาเดิม นาวาเอกผันได้โอนยกให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยเสน่หาเมื่อ พ.ศ. 2508 ส่วนที่ดินโฉนดที่ 2341 ที่เหลือจากแบ่งแยกอันเป็นส่วนของนางเอื้อน นางเอื้อนโอนยกให้แก่โจทก์ในปีเดียวกันนั้น ต่อมา พ.ศ. 2514 นาวาเอกผันถึงแก่กรรม โจทก์จึงฟ้องขอแบ่งมรดกเป็นคดีนี้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่า การที่สามีจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์สินเดิมของตนอันเป็นสินบริคณห์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462 ด้วยการยกให้โดยเสน่หาจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 และมาตรา 1476 ประกอบด้วยมาตรา 525 และ 456 และในคดีนี้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นได้ว่าความยินยอมได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานยินยอมเป็นหนังสือ ข้ออ้างจึงเลื่อนลอยฟังไม่ได้ คดีต้องฟังว่าผู้ตายยกที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และเห็นว่าปัญหาเรื่องความยินยอมเป็นประเด็นมาแต่แรกเริ่มและเป็นประเด็นที่คู่ความติดใจโต้แย้งกันประเด็นเดียวในคดี ดังนั้น เมื่อมีกฎหมายบัญญัติว่าความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและพิพากษาคดีให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายได้ ทั้งคดีไม่มีประเด็นว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมหรือเป็นการจำหน่ายเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวหรือไม่ จึงไม่มีปัญหาว่าจะต้องชักสินสมรสใช้สินเดิมได้เพราะกรณีต้องด้วยเหตุดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้น เมื่อคดีฟังว่าได้มีการจำหน่ายไปโดยมิได้รับความยินยอมของจำเลยที่ 1 จึงจะให้ใช้คืนจากสินสมรสไม่ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งด้วยว่าส่วนแบ่งและการปันทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625(1) บัญญัติให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยการหย่าโดยความยินยอม และบัญญัติโดยเฉพาะต้องอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 1513 ถึง 1517 ไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 1458 ถึง 1487 มาใช้บังคับ ศาลอุทธรณ์จึงยกมาตรา 1462,1476 ประกอบด้วยมาตรา 525, 456 มาบังคับใช้ไม่ได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 เป็นบทบังคับในเรื่องแบบของความยินยอมอันจะนำไปสู่บทบัญญัติเรื่องจะนำสินสมรสใช้คืนสินเดิมของคู่สมรสที่หย่าขาดจากกันได้หรือไม่เพียงใด หาใช่เป็นกรณีหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1625(1) ดังโจทก์ฎีกาโต้แย้งไม่

พิพากษายืน

Share