คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1524 เป็นบทบัญญัติวิธีการพิสูจน์ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายอันสืบเนื่องมาจากมาตรา 1519 อันเป็นบทบัญญัติสำหรับเด็กที่เกิดในสมรสซึ่งกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรของชายผู้เป็นสามี เหตุนี้ ถ้ามีข้ออ้างว่าผู้ใดเป็นบุตรของหญิงชายซึ่งสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็พิสูจน์ได้โดยวิธีการตามมาตรา 1524 ส่วนบุตรนอกกฎหมายที่บิดามารดามิได้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายก็โดยบทบัญญัติมาตรา 1526 ต่อไป หาใช่ว่าพฤติการณ์ตามมาตรา 1524 เป็นวิธีการรับรองบุตรนอกสมรสให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายขึ้นมานอกเหนือไปจากมาตรา 1526 อีกไม่
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานเฉพาะข้อโต้เถียงในเรื่องทรัพย์สินข้อเดียวจำเลยหาได้โต้แย้งว่ามีประเด็นอื่นที่ต้องสืบพยานอีกไม่ ในที่สุดก็แถลงไม่สืบพยาน จำเลยจะมาเถียงว่าศาลมีคำสั่งตัดประเด็นข้อที่จะนำสืบว่าไม่ถูกต้องในชั้นฎีกาย่อมไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 เพราะคำสั่งศาลชั้นต้นเช่นนี้ไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา 227, 228

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์อยู่กินกับจำเลยที่ ๑ บุตรจำเลยที่ ๒ ฉันสามีภรรยาไม่จดทะเบียนสมรส มีบุตร คือ เด็กชายปรีชา เด็กหญิงเพ็ญศรี เด็กชายวิเชียร มีทรัพย์ส่วนตัวตามบัญชีท้ายฟ้อง ๙,๕๐๐ บาท บัดนี้ โจทก์แยกกับจำเลยที่ ๑ โจทก์จะขนทรัพย์ส่วนตัวและรับเด็กชายปรีชาไป จำเลยทั้งสองขัดขวางกักตัวเด็กชายปรีชาไว้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนตัวเด็กชายปรีชาแก่โจทก์ และคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน
จำเลยทั้งสองให้การว่า การแต่งงานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถูกต้องตามประเพณีและกฎหมายจีน ไม่ต้องจดทะเบียน เด็กจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ และได้ตกลงกันให้เด็กชายปรีชาอยู่กับจำเลยที่ ๑ โดยความเต็มใจของบุตรด้วย จำเลยที่ ๒ มิได้ขัดขวางกักตัวเด็กไว้ ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาคืนทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ หรือใช้ราคา ๕,๖๕๐ บาท และให้ส่งเด็กหญิงเพ็ญศรี เด็กชายวิเชียรแก่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งตัวเด็กชายปรีชาให้ไปอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ คืนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ ๑, ๕, ๖, ๘ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๔ ที่จำเลยอ้างขึ้นมาว่าเป็นการรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น มาตรานี้เป็นบทบัญญัติวิธีการพิสูจน์ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายอันสืบเนื่องมาจากมาตรา ๑๕๑๙ อันเป็นบทบัญญัติสำหรับเด็กที่เกิดในสมรส ซึ่งกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรของชายผู้เป็นสามี เหตุนี้ ถ้ามีข้ออ้างว่าผู้ใดเป็นบุตรของหญิงชายซึ่งสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็พิสูจน์ได้โดยวิธีการตามมาตรา ๑๕๒๔ เช่น พิสูจน์จากทะเบียนคนเกิด หรือถ้าไม่ปรากฏทะเบียน ก็พิสูจน์โดยพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาดังบัญญัติไว้ในวรรค ๓ ส่วนบุตรนอกกฎหมายที่บิดามารดามิได้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายก็โดยบทบัญญัติมาตรา ๑๕๒๖ ต่อไปด้วยการที่บิดามารดาสมรสกันภายหลัง บิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร หาใช่ว่าพฤติการณ์ตามมาตรา ๑๕๒๔ เป็นวิธีการรับรองบุตรนอกสมรสให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายขึ้นมานอกเหนือไปจากมาตรา ๑๕๒๖ อีกไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่สืบพยานว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้เด็กอยู่ในการปกครองของจำเลยนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานเฉพาะข้อโต้เถียงในเรื่องทรัพย์สินข้อเดียว จำเลยหาได้โต้แย้งว่ามีประเด็นอื่นที่ต้องสืบพยานอีกต่อไป แล้วในที่สุดก็แถลงไม่ติดใจสืบพยาน บัดนี้กลับมาเถียงว่า ศาลมีคำสั่งตัดประเด็นข้อที่จะนำสืบเสียเองว่าไม่ถูกต้องนั้น จำเลยฎีกา ณ บัดนี้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ เพราะคำสั่งศาลชั้นต้นเช่นนี้ไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา ๒๒๗, ๒๒๘ ที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้โดยมิต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share