แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ จำเลยไม่ยอมให้จับกุมหลบหนีเข้าป่า แล้วได้ใช้อาวุธปืนยิงจากในป่านั้น แต่อยู่ห่างไกลกับเจ้าพนักงานตำรวจ และไม่รู้ว่าวิถีกระสุนไปทางไหน ดังนี้ ยังไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยคงมีความผิดฐานต่อสู้เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 เท่านั้น ไม่มีความผิดฐานเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐ และ ๒๘๙ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙, ๘๐ จำคุกคนละ ๒๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่าง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยกับพวกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาลักทรัพย์จำเลยกับพวกไม่ยอมให้จับกุม ได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อต่อสู้ขัอขวางมิให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมแต่ข้อเท็จจริงเป็นกรณีสงสัยไม่พอรับฟังว่ามีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงาน เพราะเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจยิงปืนขู่ จำเลยกับพวกหลบหนีเข้าป่า ได้ใช้อาวุธปืนยิงจากในป่านั้นแต่อยู่ห่างไกลกับเจ้าพนักงานและไม่รู้ว่าวิถีกระสุนไปทางไหน
พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๐ ให้จำคุกคนละ ๓ ปี.