คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายที่โหนกแก้มซ้ายทะลุท้ายทอยล้มลงขาดใจตาย เมื่อจำเลยถูกจับกุมตัวได้ จำเลยได้ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ รับสารภาพผิดว่าได้ยิงผู้ตายจริง นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลอยู่ ดังนี้ สมควรถือเป็นเหตุบรรเทาโทษของจำเลยได้สถานหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78.

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระกัน กล่าวคือ จำเลยได้มีอาวุธปืนและครอบครองปืนนั้นโดยมิได้รับอนุญาต ได้ใช้อาวุธปืนยิงนายสุวรรณ เปรมประสงค์ จนถึงแก่ความตายทันที ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๕๕, ๗๒, ๗๘ พระราชบัญญัติเดียวกัน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๕, ๘ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ออกตามความตามพระราชบัญญัตินั้น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ ข้อ (๔), (๑๖) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ และริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ปืนของกลางเป็นของนายสุวรรณผู้ตาย นายสุวรรณใช้ปืนนี้จะยิงจำเลย จำเลยเข้าแย่ง บังเอิญปืนลั่นถูกผู้ตายตาย ส่วนกระสุนปืนคาไบน์ตามฟ้องไม่ใช่ของจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันเกิดเหตุได้มีคนยิงปืนขึ้น ๑ นัด ทางหน้าบ้าน นายสาลี่ จึงได้ออกไปดูพบจำเลย และจำเลยรับว่าเป็นคนยิงปืนเอง นายสาลี่จึงต่อว่าจำเลย คราวนี้จำเลยทำท่าจะยิงนายสาลี่อีก นายสาลี่จึงกดปากกระบอกปืนลงดินจนปืนลั่นขึ้น กระสุนปืนไปถูกเท้าเด็กชายกำจัดซึ่งยืนอยู่ระหว่างจำเลยกับนายสาลี่และมีหัวกระสุนปืนฝังดินอยู่ตรงนั้น นายสุวรรณจึงได้ออกไปถามว่าใครยิงปืนถูกเด็ก ครั้นแล้วจำเลยก็ใช้ปืนนั้นยิงถูกนายสุวรรณที่โหนกแก้มซ้ายทะลุท้ายทอยล้มลงขาดใจตาย โดยจำเลยมีอาวุธปืนนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้มีทะเบียนอนุญาต แต่กระสุนปืนคาไบน์ ๓ นัดตามฟ้องนั้นไม่ได้ความว่าจำเลยได้มีไว้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ แต่ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๘๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกไว้มีกำหนด ๒๐ ปี ริบของกลาง ส่วนข้อหาฐานมีกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะในการสงครามให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่า จำเลยยิงผู้ตายตามพฤติการณ์ที่กล่าวมา แต่เห็นว่าควรลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักไม่ใช่บทหนัก และคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนมีประโยชน์แก่การพิจารณา ควรเป็นเหตุบรรเทาโทษของจำเลยบ้าง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนัก แล้วลดโทษให้จำเลย ๑ ใน ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๑๕ ปี นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาต่อมาว่า เฉพาะที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลย ๑ ใน ๔ ว่าไม่ควรได้รับความปราณีเช่นนั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏในชั้นสอบสวน จำเลยได้ให้การรับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าได้ยิงผู้ตายจริง นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลอยู่ ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษของจำเลยได้สถานหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษโดยเหตุนี้ให้แก่จำเลย ๑ ใน ๔ จึงชอบแล้ว พิพากษายืน.

Share