คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1,2 ซึ่งเป็นสามีภริยากันยินยอมทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์โดยโจทก์ได้วางมัดจำไว้แล้วแต่ต่อมาจำเลยที่ 1,2 กลับทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 ถึง 5 บุตรของตนเสียย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1,2 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ และเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์ซึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 1,2 ไว้ก่อนที่จะได้มีการทำสัญญายอมความนั้น จึงอยู่ในฐานที่จะได้รับโอนที่พิพาทดีกว่าจำเลยที่ 3 ถึง 5

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และ 2 เดิมเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 1 โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ และโจทก์ได้วางมัดจำไว้แล้ว แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ได้ตกลงหย่ากันและทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่พิพาทบางส่วนระหว่างกัน ส่วนที่พิพาทที่เหลือตกลงยกให้จำเลยที่ 3, 4, 5 ซึ่งเป็นบุตร ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้ศาลเพิกถอนการให้และบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การรับตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึง 5 ต่อสู้ว่าไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ คำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้วย่อมมีผลผูกพันบุคคลภายนอกด้วย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่พิพาท จึงอยู่ในฐานะที่จะรับโอนและจดทะเบียนสิทธิที่พิพาทได้ก่อนผู้อื่น คำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมีสิทธิดีกว่า จึงพิพากษาให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าโอนให้ไม่ได้ให้คืนมัดจำและชำระเบี้ยปรับ

จำเลยที่ 3 ถึง 5 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ถึง 5 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นสามีภริยาได้รู้เห็นยินยอมทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ แต่แล้วจำเลยทั้งสองนี้กลับไปทำสัญญายอมความยกที่พิพาทให้แก่บุตรของตนเสีย ย่อมแสดงว่าไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ และเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตโจทก์ซึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายนี้กับจำเลยที่ 1, 2 ไว้ก่อนที่จำเลยทั้งสองนี้จะทำสัญญายอมความยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ถึง 5 จึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับโอนที่พิพาทดีกว่าจำเลยที่ 3 ถึง 5

จึงพิพากษายืน

Share