คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5638/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ของจำเลยที่กล่าวหาว่าโจทก์มีชู้ โดยที่คาดคะเนหรือสันนิษฐานเอาเอง แล้วด่าว่าโจทก์ถึงเหตุนี้ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและต่อหน้าพนักงานสอบสอน จึงเป็นการหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง ทั้งการที่จำเลยได้ส่งเอกสารต่าง ๆ ด่าว่าโจทก์ไปให้โจทก์และบุคคลอื่นทางไปรษณีย์ กับส่งทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยทำลายแล้วไปให้โจทก์ เป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(3)(เดิม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพิษณุโลกกล่าวหาว่าโจทก์เป็นชู้ กับนายสุเมนะ หลังจากนั้นจำเลยหาสาเหตุทะเลาะกับโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าบ้าน และจำเลยได้หมิ่นประมาทโจทก์ และมารดาโจทก์ว่า โจทก์เป็นคนสำส่อนชอบเปลี่ยนผู้ชาย ส่วนมารดาโจทก์เป็นคนไม่ดี โดยส่งจดหมายมีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งญาติพี่น้องของโจทก์ทั้งยังร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ให้ตั้งกรรมการสอบสวน โดยกล่าวหาว่าโจทก์มีชู้ ทำให้โจทก์เสียหายได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงได้รับความดูถูกเกลียดชังจากเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชาและญาติพี่น้อง การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติชั่ว ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควร และเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา ขอให้พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบบ้านเลขที่ 30/53 อาคาร 1 ซอยคชเสนีย์ แขวงสามเสนในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้แสดงการก้าวร้าวอาฆาตโจทก์จำเลยรักและห่วงใยโจทก์จึงหึงหวงแต่ไม่เกินขอบเขต โจทก์ชอบแสดงตนว่าเป็นคนโสด คบผู้ชายและแสดงอาการเบื่อหน่าย จำเลย โจทก์เดินทางจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดพิษณุโลกกับนายสุเมนะสองคนโดยรถยนต์ส่วนตัวตั้งแต่เวลา 10 นาฬิกา แต่ไปถึงจังหวัดพิษณุโลกในวันรุ่งขึ้นจำเลยถามโจทก์ถึงสาเหตุที่ล่าช้า โจทก์กลับโกรธและอ้างว่ารถยนต์เสียต้องค้างคืนที่จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยจึงสงสัยว่าโจทก์จะเป็นชู้กับนายสุเมนะ ที่จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็เพื่อเป็นหลักฐานและป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงของจำเลยจำเลยไม่เคยห้ามโจทก์เข้าบ้าน หากแต่โจทก์ไม่ยอมไปหาจำเลยเอง จำเลยไม่ได้หมิ่นประมาทโจทก์หรือมารดาของโจทก์ เหตุที่จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ ก็เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนเพื่อให้โจทก์กลับมาอยู่กินฉันสามีภริยากันต่อไปขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ส่วนคำขอให้จำเลยส่งมอบบ้านแก่โจทก์ โจทก์ไม่ติดใจคำขอส่วนนี้จึงให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์และแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 ว่า โจทก์มีชู้ กับนายสุเมนะขอให้ดำเนินการกับโจทก์ผู้ใต้บังคับบัญชาตามระเบียบของข้าราชการพลเรือนตามกฎหมาย โดยจำเลยพร้อมที่จะมาให้ถ้อยคำรายละเอียดด้วยตนเอง ข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยยืนยันให้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ทำการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์จนถึงที่สุดและจำเลยได้ส่งไปรษณียบัตรไปยังพันโทอนุสรณ์ คชรัตน์ ที่จังหวัดพิษณุโลกพร้อมภาพถ่าย กล่าวหาโจทก์และนายสุเมนะว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน กับได้กล่าวร้ายใส่ความโจทก์โดยส่งจดหมายพร้อมภาพถ่ายไปยังพี่สาวโจทก์ และหลานสาวโจทก์ส่งจดหมายด่าโจทก์ทางไปรษณีย์ ทำลายภาพถ่ายประวัติการป่วยและมรณบัตรมารดาของโจทก์ แล้วส่งให้โจทก์ทางพัสดุภัณฑ์ ทำลายประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของโจทก์ เอาสร้อยคอทองคำจี้ทองคำของโจทก์ไป ส่วนของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า เข็มขัดกระเป๋าถือ จำเลยใช้มีดสับทิ้ง แล้วส่งทางไปรษณีย์ไปให้โจทก์ที่จังหวัดพิษณุโลกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งส่งไปให้พี่สาวโจทก์ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่กล่าวหาว่าโจทก์มีชู้โดยที่คาดคะเนหรือสันนิษฐานเอาเอง แล้วได้ด่าว่าโจทก์ถึงเหตุนี้ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน และต่อหน้าพนักงานสอบสวน จึงเป็นการหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง ทั้งการที่จำเลยได้ส่งเอกสารต่าง ๆ ด่าว่าโจทก์ไปให้โจทก์ และบุคคลอื่นทางไปรษณีย์กับส่งทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยทำลายแล้วไปให้โจทก์การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(3) เดิม
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเป็นพับ

Share