คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่าพยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5224และ 5225 โจทก์และครอบครัวใช้ที่ดินของจำเลยมีความกว้างประมาณ8 เมตร เป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะมานานกว่า 10 ปี จนได้ภารจำยอมโดยอายุความแล้วจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยให้คนของจำเลยสร้างรั้วปิดทางเข้าออกหน้าบ้านโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนขอให้บังคับจำเลยเปิดทางเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยให้เข้าออกให้ดังเดิม และจดทะเบียนภารจำยอมมีความกว้างประมาณ 8 เมตร หรือตามสภาพที่โจทก์ใช้อยู่เดิมออกสู่ถนนสาธารณะ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 314 จริง โดยโจทก์ชำระค่าผ่านทางมาตลอดจนถึงเดือนสิงหาคม 2529 โจทก์ไม่ชำระค่าผ่านทางให้จำเลย จำเลยจึงสร้างรั้วปิดกั้นที่โจทก์กล่าวอ้างว่าได้ภารจำยอมโดยอายุความจึงไม่เป็นความจริงและโจทก์ใช้ทางเดินกว้างเพียงประมาณ 2 เมตร เนื่องจากโจทก์ไม่ชำระค่าผ่านทางให้จำเลย จำเลยจึงห้ามปรามมิให้โจทก์และบริวารผ่านเข้าออกในที่ดินพิพาทแล้ว แต่โจทก์และบริวารฝ่าฝืนเดินผ่านที่ดินของจำเลยตลอดมา จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลย ขอให้บังคับโจทก์และบริวารห้ามมิให้เดินผ่านที่ดินของจำเลยและให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย 12,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท แก่จำเลยนับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์และบริวารจะเลิกเดินผ่านที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยชำระค่าผ่านทางหรือค่าตอบแทนใด ๆ แก่จำเลย ทางพิพาทเป็นเส้นทางสัญจรไปมาของบุคคลทั่วไปมิใช่เป็นเนื้อที่ของตลาดที่ทำการค้าขาย จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท ทั้งโจทก์และบริวารก็มิได้กระทำละเมิดต่อจำเลยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนรั้วไม้ซึ่งสร้างปิดหน้าบ้านของโจทก์ออกไป และให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมมีขนาดความกว้าง 2 เมตร หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนภารจำยอมให้ที่ดินของโจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่พยานจำเลยสามคนต่างเบิกความว่าไม่ต้องเช่าทางเดิน แต่ต่อมาพยานทั้งสามถูกจำเลยฟ้องในข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมต่อศาลอาญาธนบุรี ซึ่งในที่สุดพยานทั้งสามดังกล่าวได้ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่า ได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จและยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ เหตุที่พยานทั้งสามเบิกความเท็จในคดีนี้เพราะถูกนางสาวสารภี แสงวิรุณ กับพวกชักจูงใจว่าจะได้ใช้ทางพิพาทโดยไม่ต้องชำระเงินอีกต่อไป จึงได้เบิกความตามที่นางสาวสารภีแนะนำ ดังนั้นข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคำเบิกความของพยานทั้งสามดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนจากที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยทั้งสามดังกล่าวเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยทั้งสามได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่า พยานจำเลยทั้งสามไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยทั้งสามที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้นั้นเอง เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน

Share