คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสองและจำเลยที่ 1พูดขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าไม่ค่อยมีเงิน จำเลยคนหนึ่งก็พูดว่ามีเท่าไรก็เอามาเถอะ พร้อมกับที่จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 2 ถือของแข็งยาวประมาณ1 แขน ห่อด้วยกระดาษและเคาะของแข็งกับฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาและใช้มือข้างหนึ่งตบที่ขากางเกงข้างนั้น ผู้เสียหายทั้งสองกลัว จึงให้เงินแก่จำเลยที่ 1 ไป ดังนี้การกระทำและคำพูดของจำเลยทั้งสองถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสองส่งเงินให้แก่จำเลยทั้งสองนั่นเอง จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีมีดปลายแหลม 1 เล่มและมีดคัตเตอร์ขนาดใหญ่ 1 อัน ไว้ในครอบครอง แล้วพาไปตามถนนพาหุรัด ซึ่งเป็นเมืองทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชิงทรัพย์เอาเงินสด 2 บาท จากนายสิโรดมอ่ำสำอางค์ ผู้เสียหายที่ 1 และเงินสด 4 บาท จากนายรมรเสนาะเมือง ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยไปโดยทุจริต โดยจำเลยที่ 1 ใช้มีดดังกล่าวเป็นอาวุธ ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ใช้วัตถุของแข็งยาวประมาณ 1 ช่วงแขนขนาดใหญ่เท่ากำรวบมือ เป็นอาวุธ ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งสองให้ได้รับอันตรายแก่กาย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือทรัพย์นั้นไว้ หรือให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 339, 371 ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339 วรรคสอง จำคุกคนละ 10 ปีและจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91ปรับ 90 บาท คำให้การชั้นจับกุม และทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่คดีและมีเหตุควรปรานีโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้6 ปี 8 เดือน และปรับ 60 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 8 เดือนจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา29, 30 มีดคัตเตอร์และมีดปลายแหลมของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ใช้ในการกระทำผิดให้ริบ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ มีดคัตเตอร์และมีดปลายแหลมของกลางเป็นวัตถุแห่งการกระทำผิดให้ริบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความเป็นพยานสอดคล้องกันในสาระสำคัญรวมความได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองอยู่ที่เกาะกลางถนนระหว่างโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยกับปากคลองตลาดมีเสียงเรียกว่ารูปหล่อ ๆ แล้วจำเลยทั้งสองได้เดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสอง และจำเลยที่ 1 พูดขอเงิน 5 บาท เมื่อผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าไม่ค่อยมีเงินมีไว้ซื้อข้าว ซื้ออุปกรณ์การเรียนจำเลยคนหนึ่งก็พูดว่า มีเท่าไรก็เอามาเถอะ พร้อมกับที่จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสองถอยหลังไปติดรถยนต์เก๋ง จำเลยที่ 2 ซึ่งถือของแข็งยาวประมาณ 1 แขนห่อด้วยกระดาษ ก็เคาะของแข็งดังกล่าวกับฝ่ามืออีกข้างหนึ่งและหมุนของแข็งนั้น ส่วนจำเลยที่ 1 ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาและใช้มือข้างหนึ่งตบที่ขากางเกงข้างนั้น และจำเลยคนหนึ่งพูดอีกว่ามีเท่าไรก็เอามาเถอะ ผู้เสียหายทั้งสองกลัวจึงให้เงินแก่จำเลยที่ 1 ไปโดยผู้เสียหายที่ 1 ให้ 2 บาท ผู้เสียหายที่ 2 ให้ 4 บาทเห็นว่าผู้เสียหายทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลยทั้งสองขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 7 นาฬิกา ย่อมสว่างมากพอที่จะเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้โดยถนัดชัดเจน ทั้งผู้เสียหายทั้งสองกับจำเลยทั้งสองก็อยู่ใกล้ชิดกัน โดยครั้งแรกที่เห็นจำเลยทั้งสองนั้นก็ห่างกันเพียงประมาณ 3 เมตร ดังนี้ เชื่อได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองเห็นการกระทำและได้ยินคำพูดของจำเลยทั้งสองดังที่เบิกความที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าได้ขอเงินนักเรียนโดยพูดดี ๆ ไม่ได้ขู่เข็ญบังคับ เป็นทำนองว่าไม่ได้ขู่เข็ญบังคับผู้เสียหายด้วยนั้นก็ขัดต่อเหตุผล เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่านักเรียนให้เงินจำเลยทั้งสองด้วยความสมัครใจ จึงไม่น่าจะมีการแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจให้ทำการจับกุมจำเลยทั้งสอง ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักพอจะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำและพูดต่อผู้เสียหายทั้งสองตามที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความ ซึ่งลักษณะการกระทำและคำพูดของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ว่ามีลักษณะเป็นการข่มขู่คุกคามผู้เสียหายทั้งสอง ประกอบกับจำเลยทั้งสองเป็นผู้ใหญ่กว่าผู้เสียหายทั้งสองโดยจำเลยที่ 1 อายุ 26 ปี จำเลยที่ 2 อายุ 19 ปี ส่วนผู้เสียหายทั้งสองอายุคนละ 15 ปี และ 16 ปี ตามลำดับ ดังนี้ การกระทำและคำพูดของจำเลยทั้งสองถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย และที่จำเลยทั้งสองกระทำและพูดต่อผู้เสียหายดังกล่าว ก็เห็นได้ว่าเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสองส่งเงินให้แก่จำเลยทั้งสองนั่นเอง ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายทั้งสองส่งเงินให้จำเลยทั้งสองเพราะเกิดความกลัว เนื่องจากจำเลยทั้งสองขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น สำหรับโทษที่จะลงแก่จำเลยทั้งสองนั้น ตามบันทึกคำเบิกความของจำเลยที่ 2ประกอบด้วยสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารในสำนวนอันดับที่ 4 ฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปีเศษ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงเห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 นอกจากนี้คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นควรลดโทษให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 อีกด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด10 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด4 ปี 5 เดือน 10 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share