คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 155,400 บาท แก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยคืนเงิน 210,800 บาทแก่โจทก์ จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวนไม่เกินสองแสนบาทคดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำนวนเบี้ยปรับที่ศาลชั้นต้นลดลงยังสูงเกินส่วนแล้วกำหนดจำนวนเบี้ยปรับใหม่เป็นเงิน 100,000 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องคืนให้โจทก์จำนวน 210,800 บาท ยังไม่ชอบด้วยเหตุผลนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ในการกำหนดจำนวนเบี้ยปรับ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ทำการสร้างแพขนานยนต์เหล็ก 1 ลำ ตามแบบแปลนของจำเลย เป็นเงินค่าจ้างจำนวน 2,100,000บาท กำหนดส่งมอบภายในวันที่ 5 พฤษภาคม 2532 แต่เนื่องจากจำเลยตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นประเภทซื้อ ดังนั้นจึงได้ทำหนังสือสัญญาโดยใช้ถ้อยคำว่าเป็นสัญญาซื้อขาย แต่สาระสำคัญและรายละเอียดของสัญญายังคงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา ระหว่างทำการสร้างได้เกิดภาวะขาดแคลนเหล็กและวัสดุก่อสร้างทั่วประเทศ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างงานที่มีผู้ทำสัญญาไว้กับส่วนราชการต่าง ๆ ออกไปได้อีก 150 วันโดยไม่มีเงื่อนไข เนื่องจากการขาดแคลนเหล็กดังกล่าว ทำให้โจทก์ส่งมอบงานช้ากว่ากำหนดในสัญญาไป 74 วัน แต่ไม่ถือว่าผิดสัญญาเพราะได้รับประโยชน์จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และกรณีเป็นเหตุสุดวิสัย แต่จำเลยกลับหักเงินค่าจ้างไว้เป็นเบี้ยปรับอ้างว่าโจทก์ส่งมอบงานล่าช้า ในอัตราร้อยละ 0.20 ของค่าจ้างทั้งหมดคิดเป็นเงินค่าปรับ 310,800 บาท และจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลือแก่โจทก์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินเบี้ยปรับที่หักไว้ดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 310,800 บาทแก่โจทก์นับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2532 ซึ่งเป็นวันผิดนัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 18,328.68 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 310,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย18,328.68 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน310,800 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซื้อขายหาใช่สัญญาจ้างทำของไม่ จึงไม่ได้รับประโยชน์จากมติคณะรัฐมนตรีตามที่โจทก์อ้าง การขาดแคลนเหล็กเส้นและอุปกรณ์ก่อสร้างไม่ใช่เหตุสุดวิสัย และตามมติคณะรัฐมนตรีที่โจทก์อ้างจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจตามระเบียบหรือข้อกำหนดสั่งอนุญาตให้ต่ออายุสัญญาออกไปแล้ว ซึ่งจำเลยก็ไม่เคยมีคำสั่งหรือตกลงกับโจทก์ให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อโจทก์ส่งมอบแพขนานยนต์ล่าช้า จำเลยจึงมีสิทธิปรับโจทก์ได้ตามข้อตกลงในสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 155,400 บาทแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่กำหนดตามคำบังคับให้ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินที่ค้างนับแต่วันครบกำหนด ตามคำบังคับไปจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน 210,800บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 155,400 บาทแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน 210,800 บาทแก่โจทก์ จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวนไม่เกินสองแสนบาท คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3เห็นว่า จำนวนเบี้ยปรับที่ศาลชั้นต้นลดลงยังสูงเกินส่วนแล้วกำหนดจำนวนเบี้ยปรับใหม่เป็นเงิน 100,000 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องคืนให้โจทก์จำนวน 210,800 บาท ยังไม่ชอบด้วยเหตุผลนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการกำหนดจำนวนเบี้ยปรับ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share