แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีมติให้รับซื้อข้างเปลือกจากสมาชิกที่ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนี้จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้แทนโจทก์ การที่ ศ.ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกแล้วนำมาเก็บไว้ที่ฉางข้าวของโจทก์แม้โจทก์จะมิได้มอบหมายให้ ศ. ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง แต่การที่ ศ. นำข้าวเปลือกจำนวนมากมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ และจำเลยที่ 1ได้รู้เห็นในการกระทำของ ศ. ด้วยแล้วนั้น ตามพฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ศ. แสดงว่าโจทก์ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้ ศ. เชิดตนเองเป็นตัวแทนของโจทก์ในการออกไปซื้อรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เมื่อสมาชิกที่นำข้าวเปลือกมาขายได้รับเงินไม่ครบถ้วน โจทก์ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดในอันที่จะต้องชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกต่อสมาชิกดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก การที่ ศ. เบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศ.ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้ หากจำเลยได้เรียกหลักประกันจาก ศ. ขณะที่รับศ. เข้าทำงานตามระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความแล้วโจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนี้คดีนี้ เป็นอันยุติแล้วว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความการที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความอีก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบห้าร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 110,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527จนถึงวันฟ้องจำนวน 8,250 บาท รวม 118,250 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยร่วมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 110,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสิบห้าให้การต่อสู้คดี และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสิบห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 94,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสิบห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีคณะกรรมการดำเนินการและเป็นผู้แทนโจทก์ จำเลยทั้งสิบห้าเคยเป็นกรรมการดำเนินการและเป็นผู้แทนของโจทก์ จำเลยทั้งสิบห้าเคยเป็นกรรมการดำเนินการของโจทก์ มีจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการ เมื่อ พ.ศ. 2522ขณะที่จำเลยทั้งสิบห้าเป็นกรรมการดำเนินการ โจทก์ได้รับนายศักดา นครเอี่ยม เข้าเป็นพนักงานของโจทก์โดยไม่ได้จัดทำสัญญาจ้างและไม่ได้เรียกหลักประกันในการเข้าทำงาน ต่อมาพ.ศ. 2526 นายศักดาได้ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากผู้ที่เป็นสมาชิกที่มิได้เป็นหนี้โจทก์ แล้วนำมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ปรากฏว่าผู้ที่นำข้าวเปลือกมาขายไม่ได้รับเงินค่าข้าวเปลือกจึงมีการร้องเรียนขึ้น โจทก์ได้ประชุมให้ขายข้าวในฉาง แล้วนำเงินมาชดใช้ให้ มีผู้ได้รับเงินไม่ครบจำนวนอยู่ 6 ราย รวมเป็นเงิน110,000 บาท ส่วนนายศักดาหลบหนีไปโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าข้าวเปลือกไปแล้วเป็นเงินสด 84,500 บาทและนำรถแทรกเตอร์ไปไถที่ให้นางบุญเลิศ ทองจันทร์ เป็นการชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกที่ นาง บุญเลิศ ยังไม่ได้รับ 10,000 บาทปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นนายทะเบียนสหกรณ์โดยตำแหน่ง
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบห้าประการแรกว่าจำเลยทั้งสิบห้าต้องรับผิดต่อโจทก์ในการรับนายศักดาเข้าเป็นพนักงานของโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาจ้างและเรียกหลักประกันหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังว่า ที่จำเลยทั้งสิบห้านำสืบว่า ใน พ.ศ. 2526ไม่มีการลงมติให้รับซื้อข้าวเปลือก รับฟังหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้และฟังว่าเมื่อโจทก์มีมติให้รับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกที่ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบ การที่นายศักดาออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกจำนวน 238,853 กิโลกรัมแล้วนำมาเก็บไว้ที่ฉางข้าวของโจทก์ แม้โจทก์จะมิได้มอบหมายให้นายศักดาออกไปรับซื้อข้าวเปลือกตามที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่การที่นายศักดานำข้าวเปลือกจำนวนมากเช่นนั้นมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ เชื่อว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นในการกระทำของนายศักดา จำเลยที่ 1 เป็นผู้แทนโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโจทก์กับนายศักดาแสดงว่าโจทก์ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้นายศักดาเชิดตนเองเป็นตัวแทนของโจทก์ในการออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เมื่อสมาชิกที่นำข้าวเปลือกมาขายได้รับเงินไม่ครบถ้วน เช่นนี้โจทก์ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดต่อสมาชิกดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ในอันที่จะต้องชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกและการที่นายศักดาเบียดบังนำข้าวเปลือกและการที่นายศักดาเบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมาเรียกร้องค่าเสียหายจากนายศักดาซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้ ถ้าจำเลยทั้งสิบห้าเรียกหลักประกันจากนายศักดาขณะที่รับนายศักดาเข้าทำงานตามระเบียบว่าด้วยพนักงานและลูกจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาว่าระเบียบดังกล่าวใช้บังคับเมื่อ พ.ศ. 2524แต่โจทก์รับนายศักดาเข้าทำงานเมื่อ พ.ศ. 2522 จำเลยทั้งสิบห้าจึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การไว้เช่นนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสิบห้าศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบห้าประการต่อไปมีว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความหรือไม่ ปัญหาเรื่องอายุความนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่าความรับผิดฐานละเมิดของจำเลยที่ 1 และที่ 10ขาดอายุความตามข้อความในบันทึกเอกสารหมาย ปจ.1สำหรับข้อที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบห้าให้รับผิดเนื่องจากไม่ได้ทำสัญญาจ้างไว้เป็นหลักฐานหรือเรียกหลักประกันตามระเบียบของโจทก์นั้นไม่ขาดอายุความ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองกรณีไม่ขาดอายุความ จำเลยทั้งสิบห้ามิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนั้นคดีจึงเป็นอันยุติแล้วว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความ การที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดมีอายุความ 10 ปี นั้น จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ขาดอายุความฐานละเมิดนั้น เนื่องจากศาลวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสิบห้าร่วมกันรับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันจากนายศักดาแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จะขาดอายุความฐานละเมิดหรือไม่เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์เช่นกัน
พิพากษายืน