คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การที่ว่า ว.จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์หรือไม่ไม่ทราบ และไม่รับรองนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธ จึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า ว. เป็นกรรมการของโจทก์และมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ ในคำให้การต่อสู้คดีทำนองว่า พนักงานของโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันซึ่งยังมิได้กรอกข้อความ แต่ในฎีกากลับอ้างว่าพนักงานของโจทก์กรอกจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันที่จะต้องรับผิดเกินกว่าวงเงินที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างในฎีกา จึงไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ หนี้ตามเช็คเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้สั่งจ่ายจึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 204 วรรคสอง และโจทก์มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 686.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล มีนายวิระ รมยะรูป กรรมการนายหนึ่งลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ทำการแทนโจทก์ได้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายเช็คจำนวน 7 ฉบับ รวมเป็นเงิน 266,328 บาทกับโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ของต้นเงิน 300,000 บาท และดอกเบี้ย เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และนายวิระ รมยะรูป จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์หรือไม่ไม่ทราบและไม่รับรอง จำเลยที่ 1 มิได้สั่งจ่ายหรือสลักหลังเช็คไม่เคยลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันที่ยังมิได้กรอกข้อความ โดยพนักงานของโจทก์หลอกลวงว่าจำเลยที่ 1 เอามาให้ดูเพื่อให้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันก่อน ต่อมาพนักงานของโจทก์ได้ทำเอกสารเท็จเพื่อเรียกให้จำเลยที่ 2ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ว่านายวิระรมยะรูป จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์หรือไม่ ไม่ทราบและไม่รับรองนั้น ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าให้การปฏิเสธ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์ และตามคำให้การจำเลยที่ 2 ต่อสู้คดีในทำนองว่าพนักงานของโจทก์ได้หลอกลวงให้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความแล้วพนักงานของโจทก์ได้กรอกข้อความลงในสัญญาค้ำประกันเอง เป็นการทำเอกสารเท็จ แต่ในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 กลับอ้างว่าพนักงานของโจทก์กรอกจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดเกินกว่าวงเงินที่ตกลงกันไว้ เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยปัญหานี้ให้ไม่ได้และเห็นว่าหนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามเช็ค ซึ่งมีกำหนดใช้เงินเมื่อถึงวันที่ลงในเช็คหรือวันที่ออกเช็ค เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง และโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวแต่อย่างใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังจำเลยที่ 2หรือไม่
พิพากษายืน.

Share