คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่าบริษัทผู้รับประกันภัยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายและบริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองเมื่อจำเลยที่2นำรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยที่3รับประกันภัยไว้ไปใช้โดยให้จำเลยที่1ลูกจ้างของตนเป็นคนขับแล้วเกิดเหตุละเมิดขึ้นต้องถือว่าจำเลยที่1ขับรถโดยความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยและมีฐานะเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยเองจำเลยที่3จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยและหาเป็นการขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887วรรคหนึ่งไม่

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 18 มีนาคม 2530 นาย เสมียน สุทธิเรือง ขับ รถยนต์ คน หมายเลข ทะเบียน 9จ-3517 กรุงเทพมหานคร ซึ่ง โจทก์ รับประกัน ภัย ไว้ ครั้น ถึง บริเวณ ที่เกิดเหตุ จำเลย ที่ 1ขับ รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 84-4095 กรุงเทพมหานคร ไป ใน ทางการที่ จ้าง ของ จำเลย ที่ 2 แล่น สวน มา ด้วย ความ เร็ว สูง และ ด้วย ความประมาทเลินเล่อ ล้ำ ทาง พุ่ง เข้า ชน รถยนต์ คัน ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย อย่าง แรงเป็นเหตุ ให้ เสียหาย หลาย รายการ โจทก์ เสีย ค่า ยก ลาก รถ เป็น เงิน1,200 บาท และ จ่าย ค่าซ่อม รถ ให้ แก่ นาง สมสุข พาพร ซึ่ง เป็น เจ้าของ รถ ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย เป็น เงิน 80,000 บาท ขอให้ บังคับจำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน ชำระ เงิน 84,520 บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ7.5 ต่อ ปี ใน ต้นเงิน 81,200 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง ไป จนกว่า จะ ชำระเสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ที่ 1 และ จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ และ ขาดนัดพิจารณา
จำเลย ที่ 3 ให้การ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ร่วมกัน ชำระ เงิน81,200 บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี ใน เงินต้น ดังกล่าวนับแต่ วันที่ 19 สิงหาคม 2530 ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณ ถึง วันฟ้อง (วันที่ 18 มีนาคม 2531) ให้ ไม่เกิน 3,320 บาทยกฟ้อง โจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 3
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ที่ 3 ร่วมรับผิด กับจำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ด้วย นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “มี ปัญหา วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ 3ใน ข้อกฎหมาย เพียง ประเด็น เดียว ว่า จำเลย ที่ 3 จะ ต้อง ร่วมรับผิด กับจำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ตาม สัญญาประกันภัย หรือไม่ พิเคราะห์ แล้วใน การ วินิจฉัย ข้อกฎหมาย ดังกล่าว ศาลฎีกา ต้อง ถือ ข้อเท็จจริง ตามที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย มา แล้ว ว่า โจทก์ รับประกัน ภัย รถยนต์ คัน หมายเลขทะเบียน 9จ-3517 กรุงเทพมหานคร ตาม กรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ. 3 จำเลย ที่ 1 เป็น ลูกจ้าง ของ จำเลย ที่ 2 เมื่อ วันที่18 มีนาคม 2530 จำเลย ที่ 1 ขับ รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 84-4095กรุงเทพมหานคร ของ จำเลย ที่ 2 ซึ่ง เอา ประกันภัย ไว้ กับ จำเลย ที่ 3ปรากฏ ตาม ตาราง กรมธรรม์ เอกสาร หมาย ล. 1 หรือ จ. 12 ใน ทางการที่จ้างของ จำเลย ที่ 2 รถ คัน ดังกล่าว ไป เกิด อุบัติเหตุ ชน กับ รถยนต์ คันหมายเลข ทะเบียน 9จ-3517 กรุงเทพมหานคร ใน ระหว่าง อายุ สัญญาประกันภัย ทั้ง ได้ความ ว่า จำเลย ที่ 1 เป็น ฝ่าย ประมาท เลินเล่อ และ ทำละเมิด จริง ตาม ฟ้อง ด้วย แม้ ข้อเท็จจริง จะ ได้ความ ว่า นาย จิ้นเพ้ง ปิยะสันติกุล จะ เป็น ผู้เอาประกันภัย ไว้ กับ จำเลย ที่ 3 และ มี ข้อ สัญญา ตาม กรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.3 ว่า บริษัท จะ ใช้ ค่าสินไหมทดแทนใน นาม ของ ผู้เอาประกันภัย เมื่อ ผู้เอาประกันภัย ต้อง รับผิด ตามกฎหมาย ก็ ตาม แต่ กรมธรรม์ ดังกล่าว ข้อ 2.8 ก็ มี ข้อความ ว่า บริษัทจะ ถือว่า บุคคล ใด ซึ่ง ขับขี่ รถยนต์ โดย ได้รับ ความ ยินยอม จาก ผู้เอา ประกันภัย เสมือน หนึ่ง เป็น ผู้เอาประกันภัย เอง ซึ่ง กรณี นี้ข้อเท็จจริง ได้ความ ว่า จำเลย ที่ 2 นำ รถยนต์บรรทุก คัน ดังกล่าว ซึ่งจำเลย ที่ 3 รับประกัน ภัย ไว้ ไป ใช้ โดย ให้ จำเลย ที่ 1 ลูกจ้าง ของ ตน เป็นคนขับ แล้ว เกิดเหตุ คดี นี้ จึง ต้อง ถือว่า จำเลย ที่ 1 ขับ รถ โดย ความ ยินยอมจาก ผู้เอาประกันภัย และ มี ฐานะ เป็น เสมือน ผู้เอาประกันภัย เอง ดังนั้นเมื่อ จำเลย ที่ 1 ขับ รถ โดยประมาท เลินเล่อ และ ทำละเมิด จน เกิดความเสียหาย ขึ้น และ ต้อง รับผิด ใช้ ค่าสินไหมทดแทน แก่ โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลย ที่ 3 ก็ ต้อง รับผิดใน ฐานะ ผู้รับประกันภัย ตาม กรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.8 ซึ่ง เป็นข้อตกลง พิเศษ ที่ ผู้รับประกันภัย ยอม ผูกพัน ตน ชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อ ความ วินาศภัย ที่ เกิดขึ้น แก่ บุคคลภายนอก เพราะ ถือว่า จำเลย ที่ 1ก็ เป็น ผู้เอาประกันภัย ตาม ข้อ 2.8 ดังกล่าว ด้วย และ หา ได้ ขัด กับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ดัง ที่ จำเลย ที่ 3ฎีกา ไม่ ที่ ศาลอุทธรณ์ ให้ จำเลย ที่ 3 ร่วมรับผิด กับ จำเลย ที่ 1 และจำเลย ที่ 2 ด้วย นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ใน ผล ฎีกา ของ จำเลย ที่ 3ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share