คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5622/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองมีความหมายว่า คดีจะขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทต่อเมื่อมีการแย่งการครอบครองเสียก่อน การที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแต่ไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลย ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินหนึ่งปีคดีก็ไม่ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาท คดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญในคดีที่ว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีนี้โจทก์ฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมา จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 219 ที่สำนักงานที่ดินอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หรือให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์โจทก์ฟ้องเคลือบคลุมและเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 247/2534ของศาลชั้นต้น โจทก์ทราบการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2533 การที่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2535จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 219 ตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมา
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 9 ไร่ 4 ตารางวาตั้งอยู่ตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมามีอาณาเขตทิศเหนือจรดที่ดินของนายแก้ว นายเทียน และที่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 189 ซึ่งเดิมเป็นของนายเขียว ต่อมาตกได้แก่จำเลย นางสำเนา รวมครบุรีและนางกระดืบ สดกระโทก ซึ่งเป็นบุตรของนายเขียว ทิศใต้จรดที่ดินนายสำเนียง ล่ามกระโทก ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจรดคลองตามแผนที่แสดงที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาจำเลยไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเสิงสาง ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาททั้งแปลง ปรากฏตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 219 เอกสารหมาย จ.7 ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวโจทก์ไม่เคยไปคัดค้าน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2533โจทก์จึงโต้แย้งว่าการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาททับที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประเด็นแรกว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ การที่นายพร้อมหรือโจทก์มิได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทมิได้ทำให้เสียสิทธิในการครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใดเพียงแต่ทำให้ที่ดินนั้นไม่มีเอกสารที่แสดงถึงการครอบครองที่จะทำนิติกรรมใด ๆ เท่านั้นฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปคือโจทก์ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าการที่โจทก์เบิกความว่าเมื่อ พ.ศ. 2533 โจทก์ทราบเรื่องที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 219 แล้วโจทก์เพิ่งมาฟ้องคดี เมื่อ พ.ศ. 2535 คดีจึงขาดสิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสองบัญญัติว่า “การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง” ซึ่งมีความหมายว่าคดีจะขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงว่ามีการแย่งการครอบครองเสียก่อน ลำพังแต่การที่จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท แต่ไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาททั้งได้วินิจฉัยมาแล้วว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินเพื่อตนเองโดยชอบตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จำเลยไม่เคยเข้าไปครอบครองหรือแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเลย แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินหนึ่งปี คดีก็ไม่ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาท ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาจำเลยประเด็นต่อมาที่ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 274/2534 ของศาลชั้นต้นหรือไม่นั้นเห็นว่าในเรื่องฟ้องซ้ำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 บัญญัติว่า “คดีที่ไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฯลฯ” ศาลฎีกาพิเคราะห์คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 247/2534 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดแล้วแม้ว่าจะเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีนี้ก็ตามแต่กรณีเป็นเรื่องที่ศาลในคดีดังกล่าววินิจฉัยตามคำร้องของจำเลยให้ชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์หรือไม่ โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในอันที่จะต้องส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ที่พิพาทให้โจทก์และไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อเปลี่ยนชื่อผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้อง หากการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีการออกโดยมิชอบ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการขอเพิกถอน ศาลมิอาจบังคับให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์และพิพากษายกฟ้อง จะเห็นได้ว่าประเด็นสำคัญในคดีที่ว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทศาลยังมิได้วินิจฉัยการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบจึงไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share