คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5622/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาว่าจ้างให้จำเลยทำการก่อสร้างหลักไฟนำพร้อมอุปกรณ์และหลักกิโลเมตร จำเลยไม่สามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามกำหนดสัญญา โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา นอกจากโจทก์จะมีสิทธิริบหลักประกันแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ด้วย ความเสียหายที่โจทก์ได้รับคือไม่สามารถใช้สอยหลักกิโลเมตรร่องน้ำที่จำเลยรับจ้างก่อสร้างให้โจทก์ไม่ใช่ค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างก่อสร้างที่ได้จ้างให้แก่จำเลย และเมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายได้ ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้รับตามจำนวนสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๕ และวันที่ ๒๗กันยายน ๒๕๒๕ โจทก์ได้ว่าจ้างให้จำเลยทำการก่อสร้างหลักไฟนำพร้อมอุปกรณ์จำนวน ๑ คู่ และหลักกิโลเมตร จำนวน ๑๐ หลัก ที่ร่องน้ำสตูล จังหวัดสตูลในราคา ๑,๒๘๘,๐๐๐ บาท และทำการก่อสร้างหลักกิโลเมตรจำนวน ๑๑ หลักที่ร่องน้ำสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ในราคา ๖๕๕,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจ้างเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ และ ๔ ตามลำดับ ปรากฏว่าตามสัญญาจ้างเอกสารหมายเลข ๒ จำเลยก่อสร้างและส่งมอบงานก่อสร้างให้โจทก์เพียงงวดที่ ๑ ส่วนงวดที่ ๒ นั้นส่งมอบเฉพาะการก่อสร้างหลักไฟนำพร้อมอุปกรณ์จำนวน ๑ คู่ เท่านั้นซึ่งรวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยรับไปตามงานที่ส่งมอบ ๗๘๓,๑๐๐ บาท ส่วนงานงวดสุดท้ายซึ่งเป็นงานส่วนก่อสร้างหลักกิโลเมตรจำเลยทำไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญา และสำหรับตามสัญญาจ้างเอกสารหมายเลข ๔ นั้น จำเลยก่อสร้างและส่งมอบงานก่อสร้างให้โจทก์ได้เพียง ๒ งวด โดยได้รับค่าจ้างไปรวมเป็นเงิน ๓๒๗,๕๐๐ บาท ส่วนงานงวดสุดท้ายจำเลยทำไม่แล้วเสร็จและส่งมอบให้โจทก์ไม่ได้ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาเช่นเดียวกัน โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองฉบับ การผิดสัญญาของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเพราะไม่ได้รับประโยชน์ในการใช้สอยหลักกิโลเมตร จำนวน ๑๐ หลัก ที่ร่องน้ำสตูลและหลักกิโลเมตร จำนวน ๑๑ หลัก ที่ร่องน้ำสมุทรสาคร ตามวัตถุประสงค์ของสัญญาโดยค่าเสียหายนี้ไม่น้อยกว่าเงินที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่จำเลยไปแล้วเป็นเงินจำนวน๔๑๖,๖๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันบอกเลิกสัญญาวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๒๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๐ เป็นเวลา ๑,๑๓๐ วันเป็นเงิน ๙๖,๗๓๑ บาท รวมเป็นค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๕๑๓,๓๓๑ บาท จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๕๑๓,๓๓๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน ๔๑๖,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่สามารถก่อสร้างและส่งมอบงานให้โจทก์ได้ภายในกำหนดเวลาตามฟ้องโจทก์จริงเพราะหลักกิโลเมตรที่ก่อสร้างไว้ถูกเรือชนหัก อันเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยยินดีที่จะก่อสร้างให้จนเสร็จแต่ทางโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเสียก่อน ดังนั้น เมื่อโจทก์เลือกใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วริบหลักประกันที่จำเลยให้ไว้เป็นเบี้ยปรับจำนวน๙๗,๑๕๐ บาท และจำนวน ๓๙,๓๐๕ บาท รวมเป็นเงิน ๑๓๖, ๔๕๕ บาทตามสัญญาทั้งสองฉบับไปจากจำเลยแล้วก็แสดงว่าโจทก์สละสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยอีกและไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่เรียกมานั้นได้อีกเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน๑๐๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่เพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่สามารถก่อสร้างหลักกิโลเมตรจำนวน ๑๐ หลัก ที่ร่องน้ำสตูลให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖ และจำเลยไม่สามารถก่อสร้างหลักกิโลเมตรจำนวน ๑๑ หลัก ที่ร่องน้ำสมุทรสาครให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๖ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเมื่อวันที่ ๒๖มีนาคม ๒๕๒๗ และริบหลักประกันจำนวนเงิน ๙๗,๑๕๐ บาท และ ๓๙,๓๐๕ บาทรวมเป็นเงิน ๑๓๖,๔๕๕ บาท ตามสัญญาทั้งสองฉบับจากจำเลยแล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามสัญญาข้อ ๒๐ (๔) จากจำเลยด้วยที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเท่ากับค่างวดงานที่โจทก์จ่ายให้จำเลยรวม ๒ งวด เป็นเงิน ๘๙,๑๐๐ บาท และ ๓๒๗,๕๐๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมดเป็นเงิน ๔๑๖,๖๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับคือไม่สามารถใช้สอยหลักกิโลเมตรร่องน้ำที่จำเลยรับจ้างก่อสร้างให้โจทก์แต่จำนวนค่าเสียหายไม่ใช่ค่าจ้างก่อสร้างที่โจทก์ได้จ่ายให้จำเลยไป จึงถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถสืบจำนวนค่าเสียหายได้ ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้ตามจำนวนสมควร แต่ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๑๐๕,๐๐๐ บาท นั้นน้อยไป จึงควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์๒๐๐,๐๐๐ บาท ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย.

Share