แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างว่าความโดยคิดค่าจ้างร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มาทั้งหมด เป็นสัญญารับจ้างว่าความโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความจึงมีวัตถะประสงค์ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 41 ประกอบกับพระราชบัญญัติทนายความ พุทธศักราช 2477 มาตรา12 (2) เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ยกเลิกพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2508 ไปแล้ว และตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีบทเฉพาะกาล มาตรา 86 กำหนดให้คณะกรรมการออกข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความตามมาตรา 53 ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มิได้กำหนดเรื่องค่าจ้างการว่าความไว้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้สัญญาจ้างว่าความที่เป็นโมฆะมาแต่ต้นแล้วกลับสมบูรณ์ได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๒๖ จำเลยทั้งสามจ้างโจทก์เป็นทนายความว่าต่างคดีแพ่ง โดยตกลงว่า ถ้าได้ค่าเสียหายเป็นเงินเท่าใด จำเลยยอมให้คิดค่าทนายความร้อยละสามสิบของทุนทรัพย์ที่ฟ้องหรือเงินที่ได้มาทั้งหมด ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมให้นายบริสุทธิ์ชำระเงิน ๗๕,๐๐๐ บาทแก่จำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามได้รับเงินไปแล้วและมอบเงินค่าธรรมเนียมที่ศาลสั่งคืน ๖,๕๐๐ บาทแก่โจทก์เป็นค่าว่าความบางส่วน ส่วนที่เหลืออีก ๑๖,๐๐๐ บาท ไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ตกลงว่าจ้างโจทก์ว่าความเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับเงินไปแล้ว การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความร้อยละสามสิบของจำนวนเงินที่ได้มาทั้งหมดเป็นการฟ้องเพื่อแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันลูกความจะพึงได้รับเมื่อชนะคดี เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยทั้งสามท้ากันว่า สัญญาที่จำเลยตกลงจ้างโจทก์ว่าความโดยคิดค่าจ้างร้อยละสามสิบของทุนทรัพย์ที่ฟ้องหรือเงินที่ได้ทั้งหมดเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติทนายความเป็นโมฆะหรือไม่ ถ้าเป็นโมฆะโจทก์ยอมแพ้ ถ้าสัญญาสมบูรณ์จำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาว่าความเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยทั้งสามตกลงจ้างโจทก์ว่าความโดยคิดค่าจ้างร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มาทั้งหมด มิได้คิดจากจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง และที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์คิดค่าจ้างว่าความร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มา โดยจำเลยทั้งสามตกลงด้วยในลักษณะเช่นนี้ เป็นการตกลงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความว่าต่างให้จำเลยทั้งสามโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความ จึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๔๑ ประกอบกับพระราชบัญญัติทนายความ พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๑๒ (๒) เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๒๘ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๕๐๘ ไปแล้ว และตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีบทเฉพาะกาล มาตรา ๘๖ กำหนดให้คณะกรรมการออกข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความตามมาตรา ๕๓ ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๒๕ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ หมวด ๓ มรรยาทต่อตัวความนั้น มิได้กำหนดเรื่องค่าจ้างการว่าความไว้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสามที่เป็นโมฆะมาแต่ต้นแล้วกลับสมบูรณ์ได้อีก
พิพากษายืน