คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2530

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำว่าลูกหนี้ตามนัยบทมาตรา 272 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายความรวมถึงทนายความของลูกหนี้ด้วย การที่ทนายจำเลยซึ่งได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลย ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับในศาลในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการ ย่อมมีผลผูกพันจำเลยและถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและบังคับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันทีและยอมให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่31 พฤษภาคม 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ขอ โดยโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมีโฉนด 2 แปลง ของจำเลยออกขายทอดตลาด จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดอ้างว่าจำเลยไม่ทราบคำบังคับเพราะทนายโจทก์ทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเองจำเลยไม่ได้ไปศาลด้วย และไม่ได้ส่งคำบังคับให้ถูกต้อง ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าลูกหนี้จะต้องลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับของศาลด้วยตนเองจึงจะชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 นั้น เห็นว่าคำว่าลูกหนี้ตามนัยบทมาตราดังกล่าวหมายความรวมถึงทนายความของลูกหนี้นั้น ๆ ด้วยมิใช่หมายความเฉพาะตัวลูกหนี้โดยเคร่งครัดแต่อย่างใด ดังนั้นการที่นางสาวเอมอร บุนนาค ทนายจำเลยซึ่งได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับแล้วในศาล ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยรับไว้ในฎีกา จึงถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการย่อมมีผลผูกพันจำเลยและถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว การยึดทรัพย์จำเลยมาประกาศขายทอดตลาดจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของจำเลยเสียนั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 200 บาทแทนโจทก์”

Share