แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายอันผู้ขายจะต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา472 นั้นต้องเป็นความชำรุดบกพร่อง ที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบ ส่วนความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่ โจทก์ซื้อรถยนต์จากจำเลย ขณะที่โจทก์รับรถคันพิพาทไปจากจำเลย รถมีสภาพเรียบร้อยดี ภายหลังโจทก์จึงอ้างว่ารถมีกลิ่นเหม็นดังนี้ จำเลยหาต้องรับผิดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า โคโรลล่า พร้อมอุปกรณ์จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ขาย เมื่อโจทก์ได้รับรถยนต์มาแล้วได้ใช้ในธุรกิจของโจทก์ ปรากฏว่ารถยนต์ดังกล่าวชำรุดบกพร่องไม่เหมาะสมในการใช้ตามวัตถุประสงค์ เพราะมีสารเคมีในรถส่งกลิ่นรบกวนรุนแรง อันเป็นความชำรุดบกพร่องที่ไม่เห็นประจักษ์ขณะส่งมอบ โจทก์แจ้งให้จำเลยรับรถคืนและหารถคันใหม่ให้ แต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาได้มีผู้ซื้อรถไปจากโจทก์ในราคาต่ำกว่าที่ซื้อจากจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินที่ขาดแก่โจทก์ พร้อมทั้งค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ใช้รถ รวมทั้งความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพ และอนามัยของโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า รถยนต์ดังกล่าวไม่มีความชำรุดบกพร่องตามฟ้องหากมีก็เกิดขึ้นภายหลัง เนื่องจากการกระทำของโจทก์เอง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 55,705 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะที่โจทก์รับรถคันพิพาทไปจากจำเลยนั้น รถมีสภาพเรียบร้อยดี หลังจากรับรถไปแล้ว โจทก์ได้มาที่บริษัทเพื่อขอป้ายทะเบียนรถ โจทก์ไม่เคยแจ้งเรื่องชำรุดบกพร่องให้บริษัททราบ ความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายอันผู้ขายจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472นั้น ต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบ ส่วนความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่กรณีของรถยนต์คันพิพาทนั้นขณะเมื่อโจทก์รับรถไปมีสภาพเรียบร้อยดี ส่วนกลิ่นเหม็นตามที่โจทก์อ้างนั้นได้เกิดขึ้นภายหลัง จำเลยที่ 1 หาต้องรับผิดไม่
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์