แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้รถจักรยานยนต์ ขับตามผู้เสียหายไปก่อนวิ่งราวทรัพย์นั้น บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันวางแผนกระทำความผิดมาก่อน ทั้งอาศัยโอกาส กระทำความผิดต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นสตรีในเวลากลางคืนในขณะปลอดผู้รู้เห็นและสะดวกแก่การหลบหนี การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน ของบุคคลทั่วไป ถือว่าเป็นกรณีร้ายแรง และแม้ขณะกระทำ ความผิดมารดาจำเลยที่ 2 จะป่วยไม่มีเงินเป็นค่ารักษาพยาบาลจำเลยที่ 2 ก็สามารถแก้ไขด้วยการประกอบอาชีพสุจริตหรือหยิบยืมจากญาติได้ หาใช่แก้ไขด้วยการกระทำผิดกฎหมายซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเดือด ร้อนต่อสังคมทั่วไปไม่ ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะอายุเพียง 18 ปี มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งก็ย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนให้มี ความรู้สึกผิดชอบและมีความสำนึกว่าควรแก้ไขปัญหาของตน ด้วยการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือด ร้อนต่อบุคคลอื่น และไม่กระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่จำเลยที่ 2 หาได้ นำสิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติไม่ กลับมากระทำผิด กฎหมายในขณะกำลังศึกษาเช่นนี้ จึงไม่เป็นเหตุที่จะรอการลงโทษ ให้จำเลยที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 336, 336 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 (ที่ถูกมาตรา 336 วรรคแรก)ประกอบ 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปีให้จำเลยทั้งสองใช้ราคาทรัพย์จำนวน 600 บาท แก่ผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสอง แต่พฤติการณ์และการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำโดยอุกอาจและเป็นภัยต่อสังคมไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยทั้งสองหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้วคงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษหรือใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้รถจักรยานยนต์ขับตามผู้เสียหายไปก่อนวิ่งราวทรัพย์นั้น บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันวางแผนกระทำความผิดมาก่อนทั้งอาศัยโอกาสกระทำความผิดต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นสตรีในเวลากลางคืนในขณะปลอดผู้รู้เห็นและสะดวกแก่การหลบหนี การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของบุคคลทั่วไป ถือว่าเป็นกรณีร้ายแรงและแม้ขณะกระทำความผิดมารดาจำเลยที่ 2 จะป่วยไม่มีเงินเป็นค่ารักษาพยาบาลจำเลยที่ 2ก็สามารถแก้ไขด้วยการประกอบอาชีพสุจริตหรือหยิบยืมจากญาติได้หาใช่แก้ไขด้วยการกระทำผิดกฎหมายซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเดือด ร้อนต่อสังคมทั่วไปไม่ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 2 มีอายุเพียง 18 ปีเศษ และกำลังศึกษาอยู่ที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสงขลานั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2อายุ 18 ปีศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความรู้สึกผิดชอบและมีความสำนึกว่าควรแก้ไขปัญหาของตนด้วยการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือด ร้อนต่อบุคคลอื่น และไม่กระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่จำเลยที่ 2 หาได้นำสิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติไม่ กลับมากระทำผิดกฎหมายในขณะกำลังศึกษาเช่นนี้ จึงไม่เป็นเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 ส่วนที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิดครั้งแรกขณะอายุ 18 ปี และให้การรับสารภาพตลอดมากับใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วนแล้วนั้นก็ล้วนเป็นเหตุบรรเทาโทษ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ได้นำมาเป็นเหตุลดมาตราส่วนและลดโทษให้จำเลยที่ 2 แล้ว ทั้งโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดมาก็เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน