แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยที่5ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่3ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทและศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่5ไม่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการปลอมใบมอบอำนาจคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์คดีนี้ตามป.วิ.พ.มาตรา145โจทก์จะมาอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยที่5ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำปลอมหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ในการขายที่ดินพิพาทให้กับโจทก์หาได้ไม่ กรมที่ดินได้วางระเบียบเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นเกี่ยวแก่การมอบอำนาจไว้ว่า”ฯโดยที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบลายมือชื่อมิใช่ผู้ชำนาญการพิเศษโดยเฉพาะการตรวจสอบจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำได้…ฯลฯ…การตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจ…ให้ตรวจสอบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับของเดิมพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่…ฯลฯ…”ดังนี้เมื่อลายมือชื่อปลอมของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมกับลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้มอบอำนาจมีลักษณะตัวอักษรช่องไฟและลีลาในการเขียนคล้ายคลึงกันมากในสายตาของวิญญูชนย่อมถือได้ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันการที่เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงจึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินกระทำโดยประมาทเลินเล่อ กรมที่ดินวางระเบียบว่า”หนังสือมอบอำนาจควรมีพยานอย่างน้อย1คนถ้าผู้มอบอำนาจพิมพ์ลายมือต้องมีพยาน2คน…ฯลฯ…”เมื่อปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจนอกจากจะมีผู้รับมอบอำนาจลงชื่อเป็นพยานคนหนึ่งแล้วยังมีลายมือชื่อพยานอื่นอีกเช่นนี้แม้จะตัดลายมือชื่อพยานที่เป็นผู้รับมอบอำนาจออกไปใบมอบอำนาจนั้นก็ยังสมบูรณ์อยู่เมื่อไม่มีระเบียบให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบใบมอบอำนาจถ่ายบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจติดเรื่องไว้การที่เจ้าพนักงานไม่ได้กระทำเช่นนั้นจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นคนประมาทเลินเล่อถึงกับเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหาย โจทก์เบิกความเพียงว่าหากจำเลยที่3ตรวจดวงตราเขตบางรักที่ประทับก็จะรู้ว่าเป็นตราปลอมส่วนจำเลยที่4ก็เคยเห็นดวงตราเขตบางรักเสมอๆแต่มิได้นำสืบให้เห็นว่าดวงตราที่แท้จริงของเขตบางรักเป็นอย่างไรคำเบิกความของโจทก์จึงเป็นเพียงความเข้าใจหรือการคาดคะเนของโจทก์เองเป็นการเลื่อนลอยกรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่3ที่4กระทำละเมิดต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตามกฎหมายในการออกโฉนดและใบแทนโฉนดที่ดิน จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทำนิติกรรมเกี่ยวแก่กรรมสิทธิ์ และสิทธิในที่ดิน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่ปฏิบัติราชการภายใต้บังคับบัญชาและรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม3 โฉนด เนื้อที่ 604 ตารางวา จำเลยทั้งห้ากระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 5 แจ้งกับเจ้าหน้าที่หมวดนิติกรรมที่ดินและการมอบอำนาจของเขตบางรักว่า ประสงค์จะมอบอำนาจให้บุตรชายไปขอใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสามแปลงจากกรมที่ดิน จำเลยที่ 1 เพราะโฉนดสูญหาย จำเลยที่ 5อายุกว่า 60 ปี ขอให้เขตบางรักรับรองว่ามีสติสมบูรณ์และประสงค์จะทำกิจการตามใบมอบอำนาจซึ่งความจริงโฉนดดังกล่าวมิได้สูญหายแต่จำเลยที่ 5 มีเจตนาทุจริตประสงค์จะนำไปแทนโฉนดไปใช้ในทางที่มิชอบเจ้าหน้าที่จึงออกคำรับรองหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 5 ต่อมามีผู้ทำปลอมใบมอบอำนาจที่มีคำรับรองดังกล่าว ด้วยความร่วมมือของจำเลยที่ 5 วันที่ 26 เมษายน 2519 บุคคลที่อ้างตนว่าเป็นนายคณิสสรวิริยศิริ บุตรจำเลยที่ 5 ผู้รับมอบอำนาจนำไปยื่นขอใบแทนโฉนดต่อจำเลยที่ 3 ที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร จำเลย ที่ 3 ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้มอบอำนาจว่าเหมือนกับลายมือชื่อในสารบบเดิมหรือไม่ ถ้าตรวจดูจะเห็นได้โดยง่ายว่าไม่เหมือนกัน ทั้งอายุก็คลาดเคลื่อน ผู้รับมอบอำนาจมีบัตรประจำตัวประชาชนจริงหรือไม่ จำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้ถ่ายภาพติดเรื่องไว้ตามระเบียบ ดวงตราที่ประทับกำกับลายมือชื่อของพนักงานผู้รับรองก็มีรูปร่างลักษณะลวดลายผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าเป็นดวงตราปลอมหากจำเลยที่ 3 ตรวจสอบและใช้ความระมัดระวังก็จะเห็นว่าไม่เหมือนกับที่จำเลยที่ 3 เคยพบเห็นอยู่เสมอ พยานในการรับมอบอำนาจก็ไม่มีผู้รับมอบอำนาจกลับเป็นพยานเสียเอง จำเลยที่ 3 ควรเสนอให้ระงับการออกใบแทนไว้ก่อนแล้วส่งหนังสือมอบอำนาจไปตรวจสอบยังเจ้าพนักงานผู้รับรองที่เขตบางรัก แต่กลับเสนอให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการต่อไป จำเลยที่ 2 มิได้กระทำการตามระเบียบที่ทางราชการวางไว้ กลับออกใบแทนโฉนดให้ และมอบใบแทนโฉนดแก่ผู้รับมอบอำนาจปลอมไป ในวันที่ 22 มิถุนายน 2519 โจทก์กับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นบุตรจำเลยที่ 5 ได้ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินทั้งสามโฉนดนั้นที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 4 มีหน้าที่รับคำขอทำนิติกรรมดังกล่าว ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 4ไม่ตรวจดูว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเหมือนกับลายมือชื่อในสารบบเดิมหรือไม่ไม่ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจและผู้ซื้อติดเรื่องไว้ จำเลยที่ 4 เคยเห็นดวงตราที่ประทับกำกับลายมือชื่อเจ้าพนักงานเสมอ ถ้าใช้ความสังเกตุจะเห็นได้ว่าเป็นดวงตราปลอมจำเลยที่ 2 มิไ้ดทำตามระเบียบที่ทางราชการวางไว้ คือถ้าตรวจดูลายมือชื่อผู้มอบอำนาจกับลายมือชื่อเจ้าของที่ดินในสารบบเดิมจะเห็นว่าไม่คล้ายคลึงกัน ดวงตราที่ประทับกำกับลายมือชื่อผู้รับรองไม่เหมือนกับดวงตราที่แท้จริง หากจำเลยที่ 2 ตรวจดูแล้ว ก็จะต้องไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ การกระทำโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 และการกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับซื้อที่ดินทั้งสามโฉนด และได้จ่ายเงินจำนวน 1,751,600 บาท ให้แก่ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นบุตรจำเลยที่ 5ไปแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงิน 1,751,600 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธต่อสู้คดีขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 มิได้แสดงตัวขอรับคำรับรองในหนังสือมอบอำนาจ และไม่มีส่วนรู้เห็นในการปลอมหนังสือมอบอำนาจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ประมาทเลินเล่อในการออกใบแทนโฉนดและการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดิน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยที่ 5 ได้จงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 5 ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำปลอมหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ในการขายที่ดินพิพาทให้กับโจทก์ เห็นว่าปัญหาข้อนี้ปรากฏว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดในคดีหมายเลขดำที่ 295/2520 หมายเลขแดงที่ 3574/2523 ของศาลแพ่งแล้วว่าจำเลยที่ 5 ไม่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการปลอมใบมอบอำนาจที่นายมานพกับพวกสมคบกันปลอมขึ้น คดีดังกล่าวจำเลยที่ 5 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายสมชาย วินศิริ โจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 3 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์คดีนี้ ซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา145 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 มิได้ทำทำละเมิดต่อโจทก์ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในใบมอบอำนาจกับลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจที่มีอยู่ในสารบบของกรมที่ดินให้ละเอียดทั้งอายุของผู้มอบอำนาจก็คลาดเคลื่อน และพยานคนหนึ่งในใบมอบอำนาจก็เป็นผู้รับมอบอำนาจเอง บัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจ จำเลยที่ 3ก็ไม่ถ่ายภาพติดเรื่องไว้โดยเฉพาะดวงตราของบางรักที่ประทับก็เป็นดวงตราปลอม หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนย่อมจะทราบได้ว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ทำการตรวจสอบใบมอบอำนาจเพียงผิวเผิน ไม่ใช้ความพินิจพิจารณาและระมัดระวังตามสมควร ถือได้ว่ากระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งกรมที่ดินที่ 10/2501 ซึ่งเป็นคำสั่งวางระเบียบเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นเกี่ยวแก่การมอบอำนาจ ข้อ 3 มีว่า”การตรวจหนังสือมอบอำนาจให้พิจารณาโดยละเอียดในข้อเหล่านี้…ฯลฯ”
จ. ตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจ โดยที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบลายมือชื่อมิใช่ผู้ชำนาญการพิเศษโดยเฉพาะ การตรวจสอบจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำได้…ฯลฯ…การตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจซึ่งอาจเป็นลายเซ็นหรือลายพิมพ์นิ้วมือก็ได้นั้น ให้ตรวจสอบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับของเดิมพิที่จะเชื่อถือได้หรือไม่…ฯลฯ…” เห็นได้ว่าตามระเบียบดังกล่าวระบุให้เจ้าพนักงานตรวจสอบลายมือชื่อผู้มอบอำนาจโดยใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนที่จะพึงกระทำได้เท่านั้น มิใช่ให้ตรวจสอบเสมือนเป็นผู้ชำนาญการพิเศษ ศาลฎีกาได้ตรวจสอบลายมือชื่อปลอมของจำเลยที่ 5ผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมเปรียบเทียบกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลยที่ 5 ในเรื่องราวเดิมที่มีอยู่ที่สำนักงานที่ดิน…และลายมือชื่อของจำเลยที่ 5…ในสำนวนคดีแพ่ง…หมายเลขแดงที่3574/2523 แล้ว เห็นว่า มีลักษณะตัวอักษร ช่องไฟ และลีลาในการเขียนคล้ายคลึงกันมากในสายตาของวิญญูชนย่อมเชื่อถือได้ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ฉะนั้นที่จำเลยที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 เชื่อว่าลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจ…..เป็นลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจจริงจึงถือเป็นความประมาทเลินเล่อไม่ได้ ส่วนข้อที่อายุของผู้มอบอำนาจคลาดเคลื่อนนั้นก็ปรากฏว่า คลาดเคลื่อนไปเพียง 1 ปี ซึ่งโดยปกติธรรมดาย่อมลงคลาดเคลื่อนเช่นนั้นได้จึงไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธที่จะทำให้เป็นเหตุสงสัยในใบมอบอำนาจ จนถึงแก่จะระงับเรื่องไม่ดำเนินการให้ ที่โจทก์อ้างว่าพยานคนหนึ่งในใบมอบอำนาจก็เป็นผู้รับมอบอำนาจเองนั้นศาลฎีกาเห็นว่า…ตามระเบียบ…ข้อ 4 มีว่า”หนังสือมอบอำนาจควรมีพยานอย่างน้อย 1 คนถ้าผู้มอบอำนาจพิมพ์ลายมือต้องมีพยาน 2 คน…ฯลฯ…กรณีคดีนี้ผู้มอบอำนาจลงลายมือชื่อมิใช่พิมพ์ลายนิ้วมือ เมื่อมีพยานเพียงคนเดียว ใบมอบอำนาจก็สมบูรณ์ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พยานในใบมอบอำนาจ…นอกจากมีลายมือชื่อ”คณิสสร” ผู้รับมอบอำนาจแล้ว ยังมีลายมือชื่อพยานอื่นอีกคนหนึ่งด้วยแม้จะตัดลายมือชื่อพยานซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจออกไปใบมอบอำนาจดังกล่าวก็ยังคงสมบูรณ์อยู่ และนายจิตต์ ณ ตะกั่วทุ่ง พยานจำเลยเบิกความว่า แม้ผู้รับมอบอำนาจลงชื่อเป็นพยานก็ไม่น่าสงสัย เพราะมีบุคคลอื่นลงชื่อเป็นพยานด้วยดังนี้ การมีชื่อผู้รับมอบอำนาจเป็นพยานด้วยจึงไม่เป็นพิรุธให้สงสัยว่าใบมอบอำนาจจะเป็นเอกสารปลอมแต่ประการใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 3 ไม่ถ่ายภาพบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจติดเรื่องไว้นั้น เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่า มีระเบียบข้อบังคับให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบใบมอบอำนาจทำการถ่ายภาพบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจติดเรื่องไว้แต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้ถ่ายภาพบัตรประจำตัวผู้มอบอำนาจไว้ก็ไม่พอถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อถึงกับเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายตามฟ้องส่วนดวงตราของเขตบางรักที่ประทับในใบมอบอำนาจซึ่งเป็นดวงตราปลอมโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2, ที่ 3 และที่ 4ไม่ตรวจสอบกับดวงตราที่แท้จริงให้ถี่ถ้วนนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า หากจำเลยที่ 3 ตรวจดวงตราเขตบางรักที่ประทับก็จะรู้ว่าเป็นตราปลอม และเบิกความอีกว่าดวงตราของเขตบางรักจำเลยที่ 4 ก้เคยเห็นเสมอ ๆ แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าดวงตราที่แท้จริงของเขตบางรักเป็นอย่างไร คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวเป็นเพียงความเข้าใจหรือการคาดคะเนของโจทก์เองโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนจึงเลื่อนลอย ประกอบกับจำเลยที่ 3 เบิกความว่าได้โทรศัพท์สอบถามเขตบางรักถึงใบมอบอำนาจ เอกสารหมาย ล.1 แล้วเขตบางรักแจ้งว่า ได้รับรองใบมอบอำนาจมีเลขตรงกันกับเอกสารหมาย ล.1จึงเห็นว่าเมื่อทางเขตบางรักแจ้งว่าได้รับรองใบมอบอำนาจจริงจำเลยที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 ย่อมเชื่อโดยสุจริตว่าดวงตราของเขตบางรักที่ประทับในใบมอบอำนาจเป็นดวงตราที่แท้จริง นอกจากนี้พันตำรวจตรีชัจจ์ กุลดิลก พยานโจทก์ก็เบิกความว่า ในการสอบสวนเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ ปรากฏว่าพวกนั้นไม่มีพิรุธแต่ประการใดพวกเขาเชื่อว่าใบมอบอำนาจที่เป็นเหตุให้เกิดคดีนี้ เป็นใบมอบอำนาจอันแท้จริง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 ประมาทเลินเล่อ กระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.