แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ลงทุนก่อสร้างโรงแรมแล้วยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดิน โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยมีสิทธิเช่าโรงแรมที่ก่อสร้างเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมเป็นเวลา 16 ปี 6 เดือน และตลอดเวลาการเช่า จำเลยจะเป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือน ภาษีการค้า หรือภาษีอื่นใด และภาษีส่วนที่ทางราชการประเมินสูงกว่าที่ปรากฏในสัญญาเช่า การที่จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในที่ก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดินนี้ กรมสรรพากรถือว่าเป็นรายได้พึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงที่จะต้องเสียภาษี เมื่อพิจารณาถึงเจตนาของคู่สัญญาแล้ว ถ้าเจ้าของที่ดินมีเจตนาให้จำเลยชำระภาษีส่วนนี้แทนด้วยก็ควรจะต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเพราะภาษีโรงเรือน ภาษีการค้า ยังระบุไว้ได้ หรือมิฉะนั้นระบุว่าภาษีใด ๆ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องระบุรายละเอียดว่าเป็นภาษีในกรณีใดบ้างอย่างเช่นที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเช่า ทำให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่ามิได้หมายความรวมถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนนี้แทนเจ้าของที่ดิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกของเจ้าของที่ดินย่อมไม่มีสิทธิยกเอาเหตุนี้มาบอกเลิกสัญญาเช่าได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๑๔ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าโรงแรมลิเบอร์จากนางถนอม วิเศษอรัญญาการ มีกำหนด ๑๖ ปี ๖ เดือน โดยมีข้อตกลงตามสัญญาเช่า ข้อ ๒ วรรค ๒ กำหนดให้จำเลยผู้เช่าเป็นผู้ออกเงินค่าภาษีโรงเรือน ภาษีการค้าหรือภาษีอื่นใด และภาษีส่วนที่ทางราชการประเมินสูงกว่าที่ปรากฏในสัญญานี้ ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางถนอม และโจทก์ได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยเช่าอยู่ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ของกรมสรรพากรได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่งมายังโจทก์ และแจ้งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้เกี่ยวกับประเมินค่าเช่าโรงแรมที่จำเลยเช่าเพิ่มขึ้นจากเดิมย้อนหลังไประหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเงิน ๕๐๔,๖๑๐.๘๘ บาทโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระแทน แต่จำเลยเพิกเฉย ถือว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าโจทก์จึงได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าขอขับไล่จำเลยออกจากโรงแรมที่เช่า แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากโรงแรมลิเบอร์ตี้และส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าภาษี๕๐๔,๖๑๐.๘๘ บาท และค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาทกับค่าใช้จ่ายในการอุทธรณ์ภาษี ๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน๑,๗๕๔,๖๑๐.๘๘ บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบโรงแรมที่เช่าคืนในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การว่า ตามสัญญาเช่า คำว่าภาษีอื่นใดซึ่งจำเลยยอมออกให้ต้องเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากทรัพย์สินที่เช่า แต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่โจทก์ถูกเรียกเก็บ ไม่เกี่ยวกับภาษีที่เรียกเก็บจากทรัพย์ที่เช่า จำเลยไม่ต้องรับผิดโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการอุทธรณ์ภาษี และค่าเสียหายสำหรับอาคารที่เช่าไม่เกินเดือนละ๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นเรียกเก็บจากรายได้ของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ในรอบปีที่ได้รับเงินหรือทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นอันกฎหมายถือว่าเป็นเงินได้อันจะต้องเสียภาษีดังนั้นบุคคลใดก็ตามที่มีเงินได้เข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด บุคคลนั้นก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรณีที่จำเลยได้ก่อสร้างอาคารโรงแรมลิเบอร์ตี้และยกกรรมสิทธิ์ให้แก่นางถนอม ซึ่งกรมสรรพากรถือว่าเป็นทรัพย์สินรายได้พึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนางถนอม นางถนอมมีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงที่จะต้องเสียภาษีเพราะได้ทรัพย์สินดังกล่าวมามิใช่จำเลยโจทก์ฎีกาว่าประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติห้ามไว้โดยชัดแจ้งว่าบุคคลอื่นจะออกเงินเสียภาษีแทนบุคคลธรรมดาผู้นั้นไม่ได้ แต่ตามสัญญาเช่าในคดีนี้เมื่อพิจารณาถึงเจตนาของคู่สัญญาถ้านางถนอมมีเจตนาให้จำเลยชำระภาษีส่วนนี้แทนด้วยก็ควรจะต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเพราะภาษีโรงเรือน ภาษีการค้ายังระบุไว้ได้ มิฉะนั้นแล้วระบุว่าภาษีใด ๆ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องระบุรายละเอียดว่าเป็นภาษีในกรณีใดบ้างอย่างเช่นที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเช่านี้ นอกจากนี้โจทก์เพิ่งแจ้งให้จำเลยทราบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ คือหลังจากถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บเพิ่มเป็นเวลาถึง ๗ ปี ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้ชำระภาษีโรงเรือนแทนฝ่ายโจทก์มาโดยตลอด โดยโจทก์ออกเงินไปก่อนแล้วจึงมาเก็บจากจำเลยในภายหลังชอบที่จะถือว่าฝ่ายจำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาเช่าที่จะต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่วนที่โจทก์ฟ้องแทนโจทก์ด้วย เห็นว่าเดิมที่เดียวคู่สัญญาคงคาดไม่ถึงว่ากรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนนี้จากนางถนอมจึงมิได้ระบุไว้ให้ชัดแจ้งเช่นภาษีโรงเรือนภาษีการค้า ทำให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่ามิได้ความรวมถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนนี้แทนโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาเหตุนี้มาบอกเลิกสัญญาเช่าเพื่อฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
พิพากษายืน.