แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง จำเลยอ้างว่าฎีกาข้อกฎหมายแต่เหตุผลที่ยกขึ้นอ้างเป็นเรื่องว่าพยานโจทก์เบิกความไม่เป็นความจริง เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 หรือไม่ และการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจาก อีกคดีหนึ่งโดยที่โจทก์ไม่ได้ส่งบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้น ก่อนนั้นทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ศาลฎีกาควรที่จะ ได้วินิจฉัยเสียใหม่ นอกจากนี้ในข้อที่จำเลยขอถือเอาอุทธรณ์ ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ที่ว่า ศาลชั้นต้นรับฟัง พยานบุคคลไม่รับฟังพยานเอกสารเป็นหลักและไม่นำพยานเอกสาร มาวินิจฉัยนั้น ก็ถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายในชั้นฎีกาเช่นกัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้วินิจฉัยต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 5 ปี และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษ ของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 140/2530 คดีหมายเลขแดงที่ 360/2532 ของศาลจังหวัดหล่มสัก คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 90)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความเท็จมีสาเหตุโกรธเคือง กับจำเลย พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือพยานจำเลยน่าเชื่อถือมากกว่า หล่านี้ล้วนเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลย ฎีกาขอให้รอการลงโทษให้นั้นก็เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจ ในการลงโทษแก่จำเลยซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย ไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง