คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5596/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี เจ้าหนี้นำเอาหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายในขณะที่ยังไม่พ้นกำหนด10 ปี เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องได้และมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่ง อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดไปแล้ว เมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความยังสะดุดหยุดลง จึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ กรณีมิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีแพ่ง จึงนำเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี มาปรับใช้แก่กรณีนี้หาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย)เด็ดขาด เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งมาขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านคำขอรับชำระหนี้รายนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2338/2530 ส่วนมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6278/2529 ให้ยกเสียทั้งสิ้นตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

เจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2338/2530 เป็นเงิน2,027,907.94 บาท เต็มตามขอ จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130(8) โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากนายประกอบ ประศาสน์กิจเจริญ ลูกหนี้ร่วมในคดีแพ่งแล้วเพียงใด ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ลดลงเพียงนั้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

เจ้าหนี้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “การที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการนำเอาสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่มาใช้บังคับแก่ลูกหนี้จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 6 คดีนี้ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6278/2529 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2529 ให้ลูกหนี้กับพวกร่วมกันชำระเงินแก่เจ้าหนี้ สิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีต่อลูกหนี้จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดมีกำหนดอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 เจ้าหนี้นำเอาหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม2539 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องได้ และมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(2) และทำให้ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้น ไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคหนึ่งต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดไปแล้วตามมาตรา 193/15 วรรคสอง เมื่อเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความยังสะดุดหยุดลง จึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 94(1) กรณีนี้มิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6278/2529 ของศาลแพ่งธนบุรี จึงนำเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271มาปรับใช้แก่กรณีนี้หาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้สำหรับมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6278/2529 ของศาลแพ่งธนบุรีนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6278/2529 ของศาลแพ่งธนบุรีเป็นเงิน 253,695.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 245,720.30 บาท นับแต่วันที่ 31พฤษภาคม 2529 ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 แต่ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31พฤษภาคม 2529 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2529 ต้องไม่เกิน 15,450.80 บาทอีกจำนวนหนึ่งด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share