แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยได้ขายและมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้ ฉ. และได้ขายและมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่พิพาททั้งสองครั้งดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และที่พิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายในสิบปีการซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยกับ ฉ.และระหว่างฉ. กับโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้งโดยประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 31 ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 แต่เมื่อจำเลยได้ขนย้ายออกไปจากที่พิพาทจึงถือว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองโดยไม่ยึดถือที่พิพาทอีกต่อไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรกการที่ ฉ. กับโจทก์ได้ซื้อและยึดถือที่พิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนต่อมาในระยะเวลาห้ามโอน ฉ. กับโจทก์ก็ยังไม่ได้สิทธิครอบครอง เนื่องจากถูกจำกัดโดยบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าวแต่เมื่อโจทก์ยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้วโจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดห้ามโอนนั้น จำเลยไม่มีสิทธิเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีก และเมื่อสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ โจทก์จึงบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดิน น.ส.3 ให้แก่นางฉลวย รัญจวนโดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง ต่อมานางฉลวยขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จำเลยนำรถไถบุกรุกเข้ามาไถทับถั่วที่โจทก์หว่านไว้เสียหาย โจทก์ห้ามแล้วแต่จำเลยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยขอให้พิพากษาว่าที่ดิน น.ส.3เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยโอนที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยใช้เงิน 21,900 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์กับบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวและห้ามเกี่ยวข้องต่อไป กับให้โจทก์ใช้เงิน 13,500 บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 392 ตำบลท่าสัก อำเภอพิชัยจังหวัดอุตรดิตถ์ ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหาย 17,100 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ระบุชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามเอกสารหมาย จ.1เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2530 จำเลยนำรถไถเข้าไปไถที่พิพาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย เห็นว่า โจทก์เบิกความว่า เดิมที่พิพาทเป็นของจำเลย ต่อมาปี 2522 จำเลยได้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่พิพาทแล้วขายที่พิพาทให้แก่นางฉลวย รัญจวน ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4โดยมอบอำนาจให้นางฉลวยจัดการโอนที่พิพาทเองตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5 นางฉลวยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทแต่นั้นมาโดยให้ผู้อื่นเช่า ครั้งสุดท้ายให้นายเซ้ง นาคชา เช่ามีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 22 เมษายน 2527ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาปี 2528 นางฉลวยได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจของนางฉลวยที่มอบอำนาจให้โจทก์โอนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์ได้กู้เงินธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาอุตรดิตถ์ ตามสำเนาสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 มาชำระให้นางฉลวย ชำระเงินแล้วนางฉลวยได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.1 สัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.4 ใบมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5 และมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทแต่นั้นมา ต่อมาวันที่12 พฤษภาคม 2529 นายเซ้งไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเรียกร้องให้โจทก์จ่ายค่าเช่าที่พิพาทที่นายเซ้งจ่ายล่วงหน้าให้นางฉลวยไปและยังเหลือเวลาเช่าอีก 1 ปี ในที่สุดตกลงกันได้โดยโจทก์ได้จ่ายค่าเสียหายให้นายเซ้งเป็นเงิน 12,000 บาท ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.7 และบันทึกเอกสารหมาย จ.8แล้วนายเซ้งได้มอบหนังสือสัญญาเช่าระหว่างนายเซ้งกับนางฉลวยเอกสารหมาย จ.9 ให้เจ้าพนักงานตำรวจ แล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้มอบเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นายเสมอ มูลแสง พยานโจทก์ผู้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างนางฉลวยกับจำเลยเบิกความว่า พยานเป็นผู้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 ให้นางฉลวยกับจำเลย โดยจำเลยขายที่พิพาทให้นางฉลวยเป็นการชำระหนี้ ดังนี้การที่จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่พิพาทและโจทก์มีหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับนางฉลวย หนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ให้นางฉลวยไปทำการโอนที่พิพาทและหนังสือมอบอำนาจของนางฉลวยให้โจทก์ไปรับโอนที่พิพาท ทั้งมีนายเสมอผู้เขียนสัญญาซื้อขายมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยขายที่พิพาทให้นางฉลวยเป็นการชำระหนี้ซึ่งจำเลยก็นำสืบเจือสมว่า ในปี 2519 ได้กู้ยืมเงินนางฉลวยหลายครั้ง เช่นนี้ ถ้าไม่มีการซื้อขายกันจริงจำเลยก็ไม่จำเป็นต้องออกไปจากที่พิพาทและลงชื่อในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 และยังทำหนังสือมอบอำนาจให้นางฉลวยโอนที่พิพาทด้วย นอกจากนี้นายเซ้งนาคชา ก็ทำสัญญาเช่าที่พิพาทเอกสารหมาย จ.9 กับนางฉลวยและร้อยตำรวจตรีประยุทธ ทองก้อน ก็เบิกความว่า นายเซ้งบอกว่าเช่าที่พิพาทจากนางฉลวย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทและส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้นางฉลวยแล้วหาใช่จำเลยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมายจ.1 ให้นางฉลวยเป็นประกันเงินกู้ไม่ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าต่อมานางฉลวยได้ขายและมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่พิพาททั้งสองครั้งดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และที่พิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายในสิบปีดังข้อความที่ปรากฏด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 การซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยกับนางฉลวยและระหว่างนางฉลวยกับโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้งโดยประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 31 ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 เดิม (มาตรา 150 ตามบทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2535) แต่เมื่อจำเลยได้ขนย้ายออกไปจากที่พิพาทจึงถือว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองโดยไม่ยึดถือที่พิพาทอีกต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก การที่นางฉลวยกับโจทก์ได้ซื้อและยึดถือที่พิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนต่อมาในระยะเวลาห้ามโอน นางฉลวยกับโจทก์ก็ยังไม่ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากถูกจำกัดโดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าวแต่เมื่อโจทก์ยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดห้ามโอนนั้น จำเลยไม่มีสิทธิเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีก ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปในเรื่องค่าเสียหายว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่พนักงานอัยการจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ในมูลกรณีเดียวกันกับคดีนี้ และคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์แล้วนั้นเห็นว่า จำเลยเพียงกล่าวอ้างว่าคดีส่วนอาญาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าคดีดังกล่าวถึงที่สุดเช่นนั้นจึงยังฟังไม่ได้ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง และเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่จำเลยนำรถไปไถที่พิพาททำให้โจทก์เสียหายจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้น เมื่อสัญญาซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะ จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องกระทำการเช่นนั้น จึงบังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอโจทก์ที่ให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2