คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อธนาคารโจทก์และตามสัญญาดังกล่าวข้อ 2 มีข้อความว่า “ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้…ในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี… ในระหว่างอายุสัญญากู้ ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ได้และหากภายหลังจากวันทำสัญญานี้ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยในจำนวนหนี้ที่ผู้กู้ยังค้างชำระหนี้อยู่ตามสัญญานี้ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกเก็บนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับได้ตลอดไปจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้เสร็จสิ้นโดยเพียงแต่ผู้ให้กู้แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้น ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ตามที่แจ้งไปนั้นทุกประการโดยไม่โต้แย้งคัดค้านแต่ประการใดทั้งสิ้น” เห็นได้ว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้กู้เป็นเพียงให้โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ทำให้ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ระบุให้โจทก์แจ้งอัตราดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ทราบเปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้แจ้งการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยให้จำเลยที่ 1 ทราบ ดังนี้ การที่โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ยโดยพลการมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้ในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี

Share