คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญากู้เงินพิพาททั้งสองฉบับเป็นเอกสารที่แท้จริงและจำเลยได้ชำระหนี้รายพิพาทแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน323,500 บาท โดยใช้วิธีส่งเงินทางไปรษณีย์ธนาณัติ ไปให้โจทก์และโจทก์ได้รับแล้ว ถือว่าได้ว่าโจทก์ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ อันเป็นผลให้หนี้ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่งกรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามมาตรา 653 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2527 จำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ 100,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 จำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์อีก 100,000 บาทดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน การกู้เงินทั้งสองครั้งไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลย โจทก์มีหนังสือทวงถาม จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยของเงินกู้ทั้งสองจำนวนค้างชำระนานเกินกว่า 5 ปี โจทก์ขอคิดเพียง 5 ปี เป็นค่าดอกเบี้ยของเงินกู้จำนวนละ 75,000 บาท เงินกู้สองจำนวนจึงรวมเป็นค่าดอกเบี้ย 150,000 บาท รวมกับต้นเงินกู้สองจำนวนเป็นเงิน350,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาท คิดถัดจากวันฟ้องถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ในการกู้เงินจากโจทก์ทั้งสองครั้งจำเลยเป็นผู้เขียนกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้เงินและจำเลยลงชื่อเป็นผู้กู้ทั้งสองครั้ง แต่ตามหนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องปรากฏว่าสามีโจทก์เป็นผู้เขียนกรอกข้อความและลายมือชื่อในช่องผู้กู้ก็มิใช่ลายมือชื่อของจำเลย เป็นการที่สามีโจทก์กรอกข้อความเอาเองและปลอมลายมือชื่อของจำเลยลงในช่องผู้กู้ อย่างไรก็ดีเป็นหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระและจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นเงิน 323,500 บาทโจทก์พอใจ ถือว่าจำเลยชำระหนี้ครบถ้วนและโจทก์สัญญาว่าจะคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 5391 และ 5393 ที่มอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ยอมคืน กลับปลอมหนังสือสัญญากู้มาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าวแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องและจำเลยลงชื่อเป็นผู้กู้โดยมิใช่สัญญาปลอมและจำเลยไม่เคยชำระหนี้แก่โจทก์ ที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้แล้วนั้นเป็นการชำระหนี้เงินกู้รายก่อนหน้านี้และโจทก์ได้คืนหนังสือสัญญากู้เงินนั้นให้แก่จำเลยไปแล้วขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องย้อนขึ้นไป5 ปี แต่ต้องไม่เกิน 150,000 บาท ตามที่โจทก์ขอ และนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นเอกสารปลอมหรือไม่นั้น เห็นว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าดีกว่าพยานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนังสือสัญญากู้เงินพิพาททั้งสองฉบับเป็นเอกสารแท้จริง ไม่เป็นเอกสารปลอม
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ จำเลยมีใบรับไปรษณีย์ธนาณัติเอกสารหมาย ล.1 จำนวน 51 ฉบับ เป็นหลักฐานว่า ระหว่างปี 2529ถึงปี 2536 จำเลยส่งเงินทางไปรษณีย์ธนาณัติไปให้โจทก์ตามใบรับไปรษณีย์ธนาณัติดังกล่าว 51 ครั้ง รวมเป็นเงิน 323,500 บาทศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้รายพิพาทแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 323,500 บาท โดยใช้วิธีส่งเงินทางไปรษณีย์ธนาณัติไปให้โจทก์ การที่โจทก์อ้างว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเท่ากันรับว่าโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวจริง จึงถือได้ว่าโจทก์ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ อันเป็นผลให้หนี้ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง เมื่อนำเงินที่จำเลยชำระนั้นจัดใช้เป็นค่าดอกเบี้ยตั้งแต่วันกู้ถึงวันฟ้อง โดยดอกเบี้ยจากต้นเงิน100,000 บาท ในเวลา 1 ปี เฉลี่ยเป็นค่าดอกเบี้ยวันละ 41 บาทต้นเงินจำนวนแรกมีดอกเบี้ย 149,836 บาท ต้นเงินจำนวนหลังมีดอกเบี้ย 148,606 บาท รวมเป็นดอกเบี้ย 298,442 บาท หักจากเงินที่จำเลยชำระจำนวน 323,500 บาท คงเหลือเงิน 25,058 บาทนำไปชำระต้นเงิน คงเหลือต้นเงินที่ค้างชำระ 174,942 บาทจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระต้นเงินจำนวนนี้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดตั้งแต่วันฟ้องคือวันที่ 5 ตุลาคม 2537เป็นต้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 174,942 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2537จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ และเมื่อจำเลยชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับที่ยึดถือไว้เป็นหลักประกันเงินกู้แก่จำเลย

Share