คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5584/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์แม้จะมีข้อความว่าพินัยกรรมปลอม แต่ก็มีข้อความต่อไปซึ่งเป็นการอธิบายว่าพินัยกรรมทำขึ้นขณะเจ้ามรดกมีอายุ94 ปี ไม่มีสติรู้สึกผิดชอบ หลงลืมและฟั่นเฟือน ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้แล้ว และไม่ทำตามแบบจึงตกเป็นโมฆะ หรือเสียเปล่ามิใช่คำฟ้องหลายนัยขัดกัน คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าจำเลยฉ้อฉลให้เจ้ามรดกทำพินัยกรรมแต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าเป็นเช่นนั้น คงมีพยานปากหนึ่งอ้างว่า ผ่านไปเห็นการทำพินัยกรรมโดยบังเอิญ ขณะเห็นก็ยังไม่ทราบว่าที่บ้านจำเลยทำอะไรกัน และพยานปากนี้ก็ไม่ได้ระบุว่าจำเลยฉ้อฉลเจ้ามรดกในการทำพินัยกรรมแต่อย่างใด เช่นนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยได้ฉ้อฉลเจ้ามรดกให้ทำพินัยกรรม จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(4) การที่พินัยกรรมระบุว่า ทรัพย์สินส่วนที่เหลือจากที่ได้ดำเนินการตามข้อ 2 รวมทั้งทรัพย์สินอื่นซึ่งมีภายหลังจากที่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ทั้งหมดขอแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่ากันและยกให้ผู้รับพินัยกรรมนั้น เป็นการระบุให้ทรัพย์สินอื่นที่ได้มาภายหลังทำพินัยกรรมให้เอามาแบ่งแก่ผู้รับพินัยกรรมฉบับนี้ จึงไม่รวมที่ดินพิพาทซึ่งเจ้ามรดกทราบว่าตนมีสิทธิก่อนทำพินัยกรรมและไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมให้ชัดเจนเช่นเดียวกับทรัพย์รายอื่น ๆดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์นอกพินัยกรรม ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกเป็นเงินเดือนละ 2,500 บาท ชำระแก่โจทก์นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเป็นต้นไปจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น โจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้ กรณีไม่มีเหตุที่โจทก์จะต้องฎีกาในประเด็นนี้อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางยกเหี้ยวเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่23 มิถุนายน 2528 ก่อนถึงแก่กรรมเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมลงวันที่21 กันยายน 2523 มีข้อกำหนดในพินัยกรรมว่า เมื่อเจ้ามรดกได้ถึงแก่กรรมลงให้นำทรัพย์มรดกไปสร้างกุฎิหนึ่งหลังพร้อมรูปปั้นให้จัดทำบุญทอดกฐินและจัดพิมพ์หนังสือ คงเหลือเท่าใดแล้วให้นำไปจัดการแบ่งปันเป็นสองส่วนเท่ากัน ส่วนหนึ่งยกให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งยกให้แก่จำเลยและบุตรของจำเลย กับตั้งให้โจทก์และจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ครั้นเจ้ามรดกถึงแก่กรรมจำเลยอ้างว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรม ฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2527 ยกทรัพย์มรดกเกือบทั้งหมดให้แก่จำเลยปรากฏตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ซึ่งเป็นพินัยกรรมปลอมไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากได้จัดทำขึ้นในขณะที่เจ้ามรดกมีอายุ 94 ปี ไม่มีสติรู้สึกผิดชอบ หลงลืมและฟั่นเฟือนไม่สามารถจะแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้แล้ว มีการข่มขู่ ข่มขืนใจเจ้ามรดกให้ทำพินัยกรรม พินัยกรรมดังกล่าวจึงทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของเจ้ามรดกและไม่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดเนื่องจากไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นของเจ้ามรดก พินัยกรรมจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้บังคับจำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยและหากไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้นำทรัพย์มรดกทั้งหมดออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้ศาลสั่งว่าจำเลยเป็นผู้ถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกของเจ้ามรดกทั้งสิ้น ให้จำเลยนำเงินรายได้จากกองมรดกทั้งหมดก่อนฟ้องมาแบ่งปันให้โจทก์ครึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 81,000 บาทและให้จำเลยนำเงินรายได้จากกองมรดกซึ่งเป็นส่วนแบ่งของโจทก์เดือนละ 6,750 บาท มาแบ่งปันให้แก่โจทก์นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างหากมีขึ้นก็เกิดจากการชี้แนะจูงใจของโจทก์ โจทก์ไม่เคยแจ้งเรื่องพินัยกรรมให้จำเลยและบุตรของจำเลยทราบ ส่วนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2527เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 จำเลยไม่ได้จัดทำขึ้นเอง แต่มีการทำขึ้นตามความประสงค์ของเจ้ามรดกโดยยกทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมฉบับนี้คือที่ดินจำนวน 4 แปลง ให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตรสะใภ้พินัยกรรมตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 ได้ถูกยกเลิกด้วยข้อความตามพินัยกรรมเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 คำบรรยายฟ้องที่ว่าพินัยกรรมตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 เป็นพินัยกรรมปลอมได้จัดทำขึ้นขณะเจ้ามรดกไม่มีสติหลงลืม ฟั่นเฟือน ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้และว่าเป็นการข่มขู่ข่มขืนใจนั้น เป็นการขัดแย้งกันและเป็นไปไม่ได้ในคราวเดียวกัน คำฟ้องส่วนนี้จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกของเจ้าของมรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 1507, 1508, 1106 และ 1146ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา กับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์มรดกดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งให้จำเลยนำผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกเป็นเงินเดือนละ2,500 บาท ชำระแก่โจทก์นับตั้งแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเป็นต้นไปจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น และจำเลยเป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของเจ้ามรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจัดการแบ่งทรัพย์มรดกของที่ดินโฉนดเลขที่ 1507, 1508, 1106 และ 1146ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา กับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้แก่โจทก์ โดยคิดหักเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างกุฎิหนึ่งหลัง ค่ารูปปั้นเจ้ามรดก ค่าทำบุญทอดกฐิน และค่าพิมพ์หนังสือเป็นจำนวนเงิน 197,500 บาทออกเสียก่อนแล้วแบ่งส่วนที่คงเหลือให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์มรดกดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดหักเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวเสียก่อนที่เหลือแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยไม่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างว่า ฟ้องโจทก์บรรยายว่าพินัยกรรมเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4เป็นพินัยกรรมปลอมไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากได้จัดทำขึ้นในขณะที่เจ้ามรดกมีอายุ 94 ปี ไม่มีสติรู้สึกผิดชอบ หลงลืมและฟั่นเฟือน ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้แล้ว มีการข่มขู่ข่มขืนใจ เจ้ามรดกให้ทำพินัยกรรม พินัยกรรมดังกล่าว จึงทำขึ้นไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของเจ้ามรดก อีกทั้งพินัยกรรมดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด ไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นของเจ้ามรดก พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ เป็นคำฟ้องที่มีหลายนัยไม่แน่นอนขัดแย้งกันเป็นฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแม้จะมีข้อความว่าพินัยกรรมปลอมแต่ก็มีข้อความต่อไปซึ่งเป็นการอธิบายว่าพินัยกรรมทำขึ้นขณะเจ้ามรดกมีอายุ 94 ปี ไม่มีสติรู้สึกผิดชอบ หลงลืมและฟั่นเฟือน ไม่สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้แล้ว และไม่ทำตามแบบจึงเป็นโมฆะ หรือเสียเปล่ามิใช่เป็นคำฟ้องหลายนัยขัดกันดังจำเลยฎีกา คำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยถูกกำจัดมิให้รับมรดกรายนี้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าจำเลยฉ้อฉลให้เจ้ามรดกทำพินัยกรรม แต่โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าเป็นเช่นนั้นคงได้ความจากนางสาวดวงพรพยานโจทก์ที่อ้างว่ารู้เห็นในการทำพินัยกรรมฉบับหลังแต่เพียงว่า เดินผ่านไปเห็นการทำพินัยกรรมโดยบังเอิญ ขณะเห็นก็ยังไม่ทราบว่าที่บ้านจำเลยทำอะไรกันและนางสาวดวงพรก็ไม่ได้ระบุว่าจำเลยฉ้อฉลเจ้ามรดกในการทำพินัยกรรมแต่อย่างใด เช่นนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยได้ฉ้อฉลเจ้ามรดกให้ทำพินัยกรรมฉบับหลังจำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(4)
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 41 เป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.9 ที่โจทก์อ้างหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเดิมที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 41 เป็นของนายลิมปี กุลวานิช สามีเจ้ามรดก เมื่อนายลิมปีตายเจ้ามรดกเพียงแต่ไปขอออกโฉนดไว้ที่สำนักงานที่ดิน ที่ดินแปลงนี้จึงยังไม่มีโฉนดและได้ความจากบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งเจ้ามรดกให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ปรากฏว่าเมื่อวันที่30 มิถุนายน 2521 เจ้ามรดกเคยมอบอำนาจให้นางบุญเสนอติดต่อขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ นางบุญเสนอเข้าใจผิดไปขอออกโฉนดในนามผู้จัดการมรดกของนายบวรบุตรเจ้ามรดก ต่อมาได้มีการแก้ไขแล้วนายบวรตายแล้วก่อนตายมิได้เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้ แต่เจ้ามรดกเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงนี้นับแต่นายลิมปีตายเป็นต้นมาแสดงว่าเจ้ามรดกได้ทราบมาอย่างช้าที่สุดก็นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน2521 ที่มอบอำนาจให้นางบุญเสนอไปขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ว่าตนก็มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ซึ่งเป็นเวลาก่อนทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.9 ดังนั้นหากเจ้ามรดกประสงค์จะยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมก็น่าจะระบุไว้ในพินัยกรรมให้ชัดเจนเช่นเดียวกับทรัพย์รายอื่น ๆ แม้ตามพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.9 ข้อ 3 ระบุว่า”ทรัพย์สินส่วนที่เหลือจากที่ได้ดำเนินการแล้วตามข้อ 2 รวมทั้งทรัพย์สินอื่นซึ่งข้าพเจ้ามีภายหลังจากที่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ทั้งหมด ข้าพเจ้าขอแบ่งทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดออกเป็น2 ส่วนเท่ากัน และยกให้ผู้รับพินัยกรรม” ก็เป็นการระบุให้ทรัพย์สินอื่นที่ได้มาภายหลังทำพินัยกรรมให้เอามาแบ่งแก่ผู้รับพินัยกรรมฉบับนี้ จึงไม่รวมถึงที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 41 ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นทรัพย์นอกพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.9
สำหรับปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกเดือนละ 2,500 บาท นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกเป็นเงินเดือนละ 2,500 บาทชำระแก่โจทก์นับตั้งแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเป็นต้นไปจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้กรณีไม่มีเหตุที่โจทก์จะต้องฎีกาอีก ไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้
พิพากษายืน

Share