แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีตามที่คู่ความตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงินตามฟ้อง สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้น จะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกัน เพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนมิได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินจำนวน 205,437.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 171,150.02 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยตกลงผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,600 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์2543 และงวดต่อไปทุกวันที่ 16 ของเดือน ติดต่อกันไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยทั้งสองยินยอมชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนแก่โจทก์และค่าทนายความจำนวน 3,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินแก่โจทก์งวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 27470 และ 27650ตำบลบ้านแถว อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วเห็นว่าชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น สำหรับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีสูงเกินไป จึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษเป็นเงิน 4,600 บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันในสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น” ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองยินยอมชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องย่อมเป็นการประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องที่คู่ความตกลงกันไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยทั้งสองได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และหมายเลข 6 สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้น จะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกันเพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนย่อมมิได้อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น