คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3852/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ทราบก่อนแล้วว่า บริษัท ส. จดทะเบียนเลิกบริษัท และตั้งผู้ชำระบัญชีและโจทก์จะขอแก้ฟ้อง โดยแถลงต่อศาลว่าไม่คัดค้านที่ของแก้ฟ้องจากบริษัทส.เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ชำระบัญชีของบริษัท ส. (จำเลยที่ 1) เข้ามาด้วยแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องชื่อจำเลยที่ 1 เป็นนายรมย์ ไชยเสนา ผู้ชำระบัญชีบริษัท ส.ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 3 ทราบจำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องดังกล่าวแต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวไม่ได้
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่จำเลยที่ 1 ขอถอนฟ้องแย้ง โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ต่อศาลอุทธรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฟ้องแย้งได้คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 3 จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหานี้อีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตโดยผ่านธนาคารโจทก์ กล่าวคือจำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อซื้อสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศไว้แล้วขอให้โจทก์สั่งธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศให้จ่ายค่าสินค้าเมื่อสินค้าส่งลงเรือแล้ว โดยจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินให้ธนาคารโจทก์จำเลยที่ ๓ ตกลงทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ไว้กับโจทก์ โดยสัญญาว่าหากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๓ ยอมร่วมรับผิดเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์รับเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยที่ ๑และธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศได้แจ้งการสั่งสินค้าไปยังผู้ขาย ต่อมาผู้ขายได้ส่งสินค้ามาตามเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวและโจทก์ได้จ่ายค่าสินค้าทั้งหมดแทนจำเลยที่ ๑ ไปแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๑ นำเงินที่โจทก์จ่ายแทนไปมาชำระ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถชำระได้จึงได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้กับโจทก์ และขอรับเอกสารการสั่งสินค้าไปออกสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ โดยตกลงว่าจะชำระเงินให้โจทก์ภายใน ๙๐ วัน พร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ครั้นครบกำหนดตามสัญญาทรัสต์รีซีทจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมชำระหนี้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ แล้วขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ชำระเงินตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงขายเครื่องยนต์รถแทรกเตอร์พร้อมส่วนประกอบจำนวน ๘ ชุด และเครื่องล้างรถแทรกเตอร์จำนวน ๖ ชุด แก่ กรป.กลางสินค้าต้องสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา จำเลยที่ ๑จึงติดต่อขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตโดยผ่านธนาคารโจทก์ โจทก์ได้รับคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตพร้อมทั้งโปรโฟม่าอินวอยซ์ของจำเลยที่ ๑แล้ว แต่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ส่งรายละเอียดตามโปรโฟม่าอินวอยซ์ฉบับดังกล่าวไปยังธนาคารตัวแทนของโจทก์ ผู้ส่งสินค้าไม่ได้จัดส่งสินค้ามาให้จำเลยที่ ๑ ตามที่ได้ทำสัญญากับกรป.กลาง แต่ได้จัดส่งมาตามโปรโฟม่าอินวอยซ์ฉบับอื่นซึ่งมีรายการผิดพลาดจากที่ขอให้โจทก์สั่ง และโจทก์หรือตัวแทนโจทก์ได้จ่ายค่าสินค้าเต็มตามจำนวน โดยมิได้ตรวจสอบรายการสินค้าที่สั่ง จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทโดยไม่ทราบว่าสินค้าที่ส่งมานั้นไม่ถูกต้อง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิเรียกเงินจากจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ผิดสัญญาเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ เสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า การจ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตโจทก์จะจ่ายได้ก็ต่อเมื่อสินค้าที่สั่งได้มาถึงประเทศไทย และได้ตรวจสอบถูกต้องเรียบร้อยแล้วเมื่อสินค้ามาถึงท่าเรือกรุงเทพโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ นำเงินค่าสินค้าไปชำระจำเลยที่ ๑ ขอทำสัญญาทรัสต์รีซีทและได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้รับเงินจากทางราชการจำเลยที่ ๑ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์จ่ายเงินค่าสินค้าเมื่อสินค้าส่งลงเรือเสร็จและได้กำชับโจทก์ไม่ให้จ่ายเงินก่อนตรวจสอบสินค้า แต่โจทก์ได้จ่ายเงินไปก่อนโดยที่สินค้าขาดรายการไปหลายรายการ ต่อมาทางราชการไม่ยอมรับสินค้าและไม่จ่ายเงิน โจทก์จึงผิดสัญญาโดยจ่ายเงินไปโดยพลการและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เพียงแต่รับเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตการซื้อขายเป็นเรื่องของจำเลยและผู้ขายในต่างประเทศ โจทก์ไม่จำต้องส่งโปรโฟม่าอินวอยซ์ไปกับเลตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์จ่ายเงินค่าสินค้าไปโดยสุจริต และมีหน้าที่ตรวจเอกสารไม่ใช่ตรวจสินค้า จำเลยที่ ๑ ทำทรัสต์รีซีทโดยทราบอยู่แล้วว่าโจทก์มิได้รับสั่งสินค้าให้โจทก์ไม่ผิดสัญญาคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ขอถอนฟ้องแย้ง โจทก์ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ ได้ทราบก่อนแล้วว่า บริษัทสยามรีไฟนิ่งซัพพลายส์จำกัดจดทะเบียนเลิกบริษัท และตั้งผู้ชำระบัญชีและโจทก์จะขอแก้ฟ้อง โดยแถลงต่อศาลว่าไม่คัดค้านที่โจทก์ขอแก้ฟ้องจากจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระบัญชี เพราะจำเลยที่ ๓ ก็ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ เข้ามาด้วยแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นนายรมย์ ไชยเสนา ผู้ชำระบัญชีบริษัทรีไฟนิ่งซัพพลายส์จำกัดศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ ๓ ทราบ จำเลยที่ ๓ ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องดังกล่าวแต่อย่างใดคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยที่ ๓ ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวไม่ได้
ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ ถอนฟ้องแย้งโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๓ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ปัญหาข้อนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ครั้งหนึ่งแล้วศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด จำเลยที่ ๓ จะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวอีกไม่ได้
พิพากษายืน

Share