คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2909/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ทำการชี้สองสถาน หรือทำการสืบพยานโจทก์ย่อมยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ก่อนศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษา
เมื่อศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์มิได้จงใจทำความเสียหายให้จำเลย จำเลยจะอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ย่อมเล็งเห็นผลทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยในข้อเท็จจริงมิได้ อุทธรณ์จำเลยต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคแรก
ข้อยกเว้นซึ่งนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำซึ่งเลิกจ้างตามประกาศกระทราวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หมายถึง ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลให้จำคุกคดีถึงที่สุดขณะที่เป็นลูกจ้าง หาใช่ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วจึงมาเป็นลูกจ้างไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเป็นผูขาดคุณสมบัติ โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและเงินโบนัสประจำปี ๒๕๒๓ ให้ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๕,๕๕๐ บาท และเงินโบนัสจำนวน ๑,๗๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์เคยต้องคำพิพากษา ถึงที่สุดให้จำคุกฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ถือว่าโจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีความผิด ตามข้อบังคับว่าด้วยวินัยและโทษผิดวินัยขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๙ หมวด ๒ ข้อ ๑๘ อนุ ๑ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส ตามระเบียบปฏิบัติงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัส พ.ศ. ๒๕๒๓ ข้อ ๙ การที่โจทก์ปกปิดแจ้งเท็จต่อจำเลยกรณีที่โจทก์เคยได้รับโทษจำคุกเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงว่า จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะก่อนโจทก์จะเข้าทำงานกับจำเลย โจทก์เคยต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุก ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษและยอมรับว่าสำเนาข้อบังคับ กับระเบียบปฏิบัติงานตามสำเนาเอกสารท้ายคำให้การตรงกับต้นฉบับซึ่งมีอยู่จริง ศาลแรงงานกลางงดสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่เปิดเผยประวัติถูกจำคุก ตามคำพิพากษาของศาลในขณะขอเข้าทำงานกับจำเลย ไม่เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และการที่โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกก่อนเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องด้วยข้อ ๔๗(๖) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำงานมาครบหนึ่งปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายเก้าสิบวันคิดเป็นเงิน ๕,๕๕๐ บาท และเงินโบนัสอีก ๑,๗๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและเงินโบนัสแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ศาลแรงงานแลางอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ วรรคท้ายว่า คดีนี้เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งให้นัดพิจารณาครั้งแรกวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๔ ครั้นถึงวันนัด ศาลแรงงานกลางเห็นว่าผู้รับมอบฉันทะโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดี จึงเลื่อนการพิจารณาไปเป็นวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ ในวันนัดครั้งที่สองนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ซึ่งศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตและเมื่อได้สอบถามข้อเท็จริงจากโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยานต่อไป จึงให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ ซึ่งอนุโลมมาใช้โดยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ได้บัญญัติไว้ในวรรคสอง (๒) ว่า “คู่ความที่ขอแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การอาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานแล้วแต่กรณี และคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ให้ศาลมีคำสั่ง ยกคำร้องนั้นเสีย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑ (๑๐) ให้ความหมายของ “วันสืบพยาน” ว่า หมายความว่า วันที่ศาลเริ่มต้นหาการสืบพยานเช่นนี้ เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าศาบแรงงานกลางได้ทำการชี้สองสถานหรือทำการสืบพยานคู่ความ โจทก์ก็สามารถยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ก่อนศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษา ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ตามคำร้อง จึงไม่ขัดต่อบทกฎหมายที่จำเลยอ้าง
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์สมัครเข้าทำงาน ในแบบฟอร์มและเงื่อนไขในการสมัครงานอัน ถือเป็นสภาพการจ้างได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้สมัครงานต้องไม่เคยรับโทษตามคำพิพากษาถึงจำคุก การที่โจทก์ปกปิดความจริงย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าทำให้จำเลยเสียหาย เพราะจำเลยจ้างโจทก์ปฏิบัติงานในหน้าที่พนักงานเก็บเงิน จึงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนนั้น เห็นว่าข้อนี้คดีไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายใด ๆ และศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่แจ้งประวัติเคยต้องโทษมาก่อนสมัครทำงาน โจทก์มิได้จงใจจะทำความเสียหายให้จำเลย จำเลยจะอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์เช่นนั้นย่อมเล็งผลทำให้จำเลยเสียหาย อันเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยในข้อเท็จจริงหาได้ไม่ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคแรก
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์เคยได้รับโทษถึงจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๗ (๖) ของประกาศกระทราวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ความในข้อ ๔๗(๖) ของประกาศดังกล่าวแล้วเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า ข้อกำหนดดังกล่าว หมายถึงการได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลให้จำคุกคดีถึงที่สุดในขณะที่เป็นลูกจ้าง หาใช่ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้ว จึงมาเป็นลูกจ้างดังเช่นคดีนี้ไม่ กรณีของโจทก์ไม่ต้องด้วยข้อ ๔๗ (๖) ของประกาศกระทรวงมหาดไทยข้างต้น จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share