แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินทั้งเข้าร่วม ลงชื่อเป็นพยานยิ่งกว่าผู้เป็นนายหน้าหาเงินกู้ทั่วไปจะ พึงกระทำ แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้ว่า น.ส.3 ก. ที่อ. นำมาให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นเอกสารปลอม และนอกจากการกู้ยืมเงิน รายนี้แล้วบุคคลที่จำเลยพามากู้ยืมเงินจากผู้เสียหายล้วนแต่ ใช้ น.ส.3 ก. ปลอมวางเป็นหลักประกันทั้งสิ้น ทั้งเมื่อ ผู้เสียหายมอบเงินให้แล้ว จำเลยน. และอ. ช่วยกันนับเงินและแบ่งใส่กระเป๋าแต่ละคนแล้วพูดกันว่ายืมเงินกันใช้ก่อน ครั้นเมื่อ อ. ไม่ชำระเงินคืน ผู้เสียหายบอกจำเลยให้ช่วยติดต่อจำเลยบอกว่าอย่าเพิ่งแจ้งความจะนำเงินมาชำระให้ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กัน ทำโดยนำ น.ส.3 ก. ปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้และแจ้ง ข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายไปพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกง และใช้เอกสารสิทธิอันเป็น เอกสารราชการปลอม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266, 268, 341, 142, 83, 91 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 584/2537 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266(1) และมาตรา 341, 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266(1) ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี คำขอนับโทษต่อให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมหรือไม่เห็นว่า การที่ผู้เสียหายให้กู้ยืมเงินโดยเพียงแต่ยึดเอกสารน.ส.3 ก. ไว้เป็นหลักประกันโดยมิได้จดทะเบียนจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้เสียหายย่อมต้องใช้ความระมัดระวังในการให้กู้ยืมเงินเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้เสียหายให้นายอิ่มกู้ยืมเงินครั้งนี้ เพราะผู้เสียหายเชื่อถือจำเลยเพียงคนเดียวเนื่องจากจำเลยเป็นเพื่อนกับน้องชายผู้เสียหาย จำเลยเคยมานอนที่บ้านและยังเคยกู้ยืมเงินผู้เสียหายอีกด้วย ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงการเดินทางไปดูที่ดินต่างจังหวัดย่อมต้องไปกับคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้นที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยและนายน้อยพาผู้เสียหายกับสามีผู้เสียหายไปดูที่ดินที่อำเภอจอมบึงจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ที่จำเลยอ้างว่าเหตุที่จำเลยไม่ได้พาผู้เสียหายไปดูที่ดินเพราะติดงาน ฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลย นายน้อยและสามีผู้เสียหายไปดูที่ดินกับผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายลังเลว่าจะให้นายอิ่มกู้ยืมเงินหรือไม่ จำเลยบอกผู้เสียหายว่าไม่ต้องกลัวว่าจะโกงหากผู้เสียหายจะใช้เงิน จำเลยก็จะบอกนายอิ่มมาไถ่ถอนให้ขอยืมไปก่อน ซึ่งเป็นการให้คำรับรองและย้ำให้ผู้เสียหายมีความมั่นใจและยอมให้นายอิ่มกู้ยืมเงินนอกจากนี้จำเลยก็ยังเป็นผู้ลงชื่อเป็นพยานในการกู้ยืมเงินรายนี้อีกด้วยการที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินและเข้าร่วมลงชื่อเป็นพยานในการกู้ยืมเงินยิ่งกว่าผู้เป็นนายหน้าหาเงินกู้ทั่วไปจะพึงกระทำเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้ว่า น.ส.3 ก. ที่นายอิ่ม นำมาให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นเอกสารปลอม หากจำเลยไม่ทำเช่นนั้นและผู้เสียหายสงสัยว่า น.ส.3 ก. ที่ให้ไว้เป็นหลักประกันเป็นเอกสารปลอม ผู้เสียหายก็จะไม่ให้นายอิ่มกู้ยืมเงินนอกจากการกู้ยืมเงินรายนี้ ผู้เสียหายเคยถูกนายชวนและนายน้อยกู้ยืมเงินโดยนำ น.ส.3 ก. ปลอมวางเป็นหลักประกันเช่นเดียวกันเพียงแต่รายที่นายน้อยกู้ นายน้อยบอกว่าจำเลยไม่ว่างให้นายน้อยนำมาให้แทน เห็นได้ว่าบุคคลที่จำเลยพามากู้ยืมเงินผู้เสียหายล้วนแต่ใช้ น.ส.3 ก. ปลอมวางไว้เป็นหลักประกันทั้งสิ้น ผู้เสียหายยังเบิกความอีกว่าลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลย นายน้อยนายอิ่มบุคคลทั้งสามช่วยกันนับเงินและแบ่งใส่กระเป๋าของแต่ละคน แล้วพูดกันว่ายืมเงินกันใช้ก่อน และเมื่อนายอิ่มไม่ชำระเงินคืนตามสัญญา ผู้เสียหายบอกแก่จำเลยให้ติดต่อนำเงินมาชำระตามสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยบอกว่าอย่าเพิ่งไปแจ้งความโดยจะนำเงินมาชำระให้ พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำโดยนำเอกสาร น.ส.3 ก.ปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วจำเลยกับพวกได้เงินจากผู้เสียหายไป พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลย โดยไม่รอการลงโทษมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน