แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย และชำระค่าเช่าซื้อแล้ว 192,000 บาท จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลย ส่งมอบ รถยนต์หรือคืนค่าเช่าซื้อ การที่จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลย ไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้ใช้เงินที่อ้างว่า ได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อ เป็นคำให้การที่ไม่ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ที่ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย จึงไม่มีประเด็นเรื่อง ค่าเช่าซื้อ และที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์เดือนละ เท่าใด ก็เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย โดยได้ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมารวม 24 งวดเป็นเงิน 192,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ยึดรถยนต์คืนไปโดยโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินค่าเช่าซื้อแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เป็นหนังสือต่อกัน การเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้ใช้เงินที่อ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 192,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยให้การว่าโจทก์จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-0769 กาญจนบุรีสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้จำเลยชดใช้เงินที่อ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 192,000 บาท ได้นั้น เป็นคำให้การชัดแจ้งอันมีประเด็นนำสืบเรื่องเงินค่าเช่าซื้อจำนวน 192,000 บาทรวมอยู่ด้วยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้โดยอ้างว่ามิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การดังกล่าวของจำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวน 192,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ไม่เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องค่าเช่าซื้อดังกล่าว และศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นเรื่องค่าเช่าซื้อไว้ในชั้นชี้สองสถาน จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ตกลงให้โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาท แต่ตกลงให้โจทก์เช่ารถยนต์เป็นเงินเดือนละ 8,000 บาท และเมื่อโจทก์ได้ใช้รถยนต์คันพิพาทแล้วจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าคืนเห็นว่า โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยด้วยวาจา และโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยรวมเป็นเงิน192,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนังสือ การเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนั้น ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์พิพาทเดือนละ 8,000 บาท จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น ซึ่งเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบต่อสู้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.