แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน แม้ต่อมาศาลจะพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยยกที่ดินให้ว.ครึ่งหนึ่งโดยใส่ชื่อว. เป็นเจ้าของรวมในโฉนด แต่เมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนใส่ชื่อ ว.เป็นเจ้าของรวมว. ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพียงผู้เดียว การที่จำเลยโอนที่ดินทั้งหมดให้ ถ. จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4528 เพียงผู้เดียว การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางวิมลโดยตกลงจะยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4528 ให้แก่นางวิมลครึ่งหนึ่งด้วยการใส่ชื่อนางวิมลเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินนั้น แม้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีถึงที่สุด ก็มีผลเพียงว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นางวิมลมีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีใหม่ สำหรับสิทธิที่มีต่อบุคคลภายนอก นางวิมลมีฐานะเป็นผู้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนเท่านั้น หาทำให้นางวิมลได้รับกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งในที่ดินโดยไม่ต้องดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ ปรากฏว่าขณะที่จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่4528 ให้นางสาวถวิลนั้น นางวิมลยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนจึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว ที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพียงผู้เดียว การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ไม่มีความผิดฐานยักยอกตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.