คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดอันยอมความได้ ถ้าโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว หากจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ให้เป็นประเด็นขึ้นมาว่าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์ก็ไม่มีข้อที่จะต้องนำสืบว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว แต่ถ้าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว ก็ไม่ทำให้ฟ้องนั้นไม่เป็นฟ้อง เพราะความข้อนี้มิใช่เป็นข้อความซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติให้โจทก์ต้องบรรยายมาในฟ้อง เมื่อโจทก์นำสืบว่าคดีได้มีการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลก็พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายข้อหา เป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าข้อหาความผิดอันยอมความได้นี้ได้มีการร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว และตามคำเบิกความของผู้เสียหาย ตำรวจผู้จับกุมจำเลยและพนักงานสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการร้องทุกข์ของผู้เสียหายแต่ประการใด เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ พนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจทำการสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายบทหลายกระทง กล่าวคือจำเลยที่ 1 ได้บังอาจมีอาวุธปืน ฯลฯ ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังกายและไม้ถือเป็นอาวุธตบหน้ากระทืบและตีคุณหญิงระวีผู้เสียหายหลายแห่ง เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขึ้นไปบนบ้านผู้เสียหายโดยมิได้รับอนุญาต แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 บังอาจลักทรัพย์มีปืนสั้นรีวอลเวอร์ขนาด.38 หนึ่งกระบอก กระสุนขนาด .38 ห้านัด กล้องถ่ายรูป 1 กล้อง ธนบัตร5,000 บาท ภาพถ่ายราคา 1,500 บาทไป ต่อจากนั้นจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันใช้ปืนจี้และผลักผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ ยิงปืนขู่ พาตัวผู้เสียหายไปจากบ้านมุ่งหน้าไปยังจังหวัดลำปาง จำเลยที่ 4 บังอาจแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารบก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ฯลฯประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 297, 335(8), 310, 146 พระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 ฯลฯ กับขอให้ริบของกลางและคืนของกลางบางอย่างแก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 6 เดือน ผิดตามมาตรา 295 ลงโทษจำคุก 6 เดือนและผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนและตามมาตรา 295 ลงโทษจำคุกคนละ 3 เดือนรวมเป็นจำคุกคนละ 9 เดือน จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พ.ศ. 2477 มาตรา 6 พระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2485 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 146 แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหารอันเป็นบทหนักจำคุก 3 เดือน รวมเป็นจำคุก 9 เดือน ริบไม้ถือหัวโลหะ ปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 สิบสองปลอก ลูกระเบิดมือ 1 ลูก เครื่องแบบ 1 ชุด ของกลางนอกนี้ให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391, 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาความผิดฐานนี้คนละ 1 เดือน กับให้ยกฟ้องข้อหาความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีความผิดอันยอมความได้ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเรียกว่า คดีความผิดต่อส่วนตัวนี้ถ้าโจทก์ได้บรรยายไว้ด้วยว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว แต่จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ให้เป็นประเด็นขึ้นมาว่าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์ก็ย่อมไม่มีข้อที่จะต้องนำสืบว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว แต่ถ้าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว ก็ไม่ทำให้ฟ้องนั้นไม่เป็นฟ้อง เพราะความข้อนี้มิใช่เป็นข้อความซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติให้โจทก์ต้องบรรยายมาในฟ้อง เมื่อโจทก์นำสืบว่าคดีได้มีการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลก็พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยได้ สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายข้อหา เป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าข้อหาความผิดอันยอมความได้นี้ได้มีการร้องทุกข์ตามระเบียบแล้ว และตามคำเบิกความของผู้เสียหาย นายตำรวจผู้จับจำเลยและพนักงานสอบสวนก็เป็นความจริงดังที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่าไม่ปรากฏว่าได้มีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายแต่ประการใดเลย เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ พนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจทำการสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ฯลฯ

พิพากษายืน

Share