แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐาน มีอาวุธปืนฐาน พกอาวุธปืนและฐาน ปล้นทรัพย์ ความผิดฐาน พาอาวุธปืนของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218คงมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะ ความผิดฐาน ปล้นทรัพย์เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้จำเลยกระทำความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องในข้อหาความผิดมีอาวุธปืนของจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียว เกี่ยวพันกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี,371, 91, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ และสั่งริบอาวุธปืนของกลาง ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 15,050 บาท แก่เจ้าของด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี,371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 ทวิให้เรียงกระทงลงโทษความผิดฐานปล้นทรัพย์จำคุกคนละ 21 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 2 ปี ความผิดฐานพาอาวุธปืนซึ่งการกระทำเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ซึ่งมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมเป็นวางโทษจำเลยคนละ 24 ปี ริบอาวุธปืนของกลางให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์15,050 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี และ 1 ปีตามลำดับจึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คงมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานปล้นทรัพย์
…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้ายปล้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไปตามฟ้อง คดีมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ ประจักษ์พยานโจทก์คือนางสุวินคล้ายจินดา ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันว่า คนร้ายมีทั้งหมด3 คน จำหน้าได้ 2 คน คือจำเลยทั้งสอง โดยมีรายละเอียดเป็นสำคัญว่าขณะนอนหลับอยู่ในมุ้งกับผู้เสียหายที่ 2 ต้องตื่นขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งต่างมีอาวุธปืนพกและไฟฉายคนละกระบอกเข้ามาในมุ้งจำเลยที่ 1 ยืนคร่อมร่างผู้เสียหายที่ 2 ไว้ ส่วนจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ที่ปลายเท้าผู้เสียหายที่ 1 เห็นและจำหน้าจำเลยทั้งสองได้จากแสงไฟฉายที่จำเลยทั้งสองส่องฉายหาทรัพย์อยู่ภายในมุ้งนานราว 20 นาที แต่นายไล่เซ็ง กิจประยูร ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งนอนอยู่ในมุ้งด้วยโดยตลอดมีโอกาสเห็นคนร้ายได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เสียหายที่ 1 กลับเบิกความไม่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายเห็นว่า แม้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 จะแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนของตน ตามเอกสารหมาย จ.7 ที่ให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายก็ตาม แต่คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ในชั้นพิจารณาของศาลกระทำต่อหน้าคู่ความย่อมมีน้ำหนักควรแก่การรับฟังมากกว่าคำให้การชั้นสอบสวนซึ่งเป็นเพียงพยานชั้นที่ 2 ที่ผู้เสียหายที่ 2เบิกความไม่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายจะฟังว่าเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยทั้งสองพ้นผิด ก็ไม่น่าจะเป็นได้ เพราะหากกรณีเป็นไปดังกล่าวนั้น ผู้เสียหายที่ 1 ก็น่าจะเบิกความโดยไม่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ทำนองเดียวกับผู้เสียหายที่ 2 ผู้เป็นสามีและต่างก็เบิกความในการพิจารณาคดีของศาลนัดเดียวกัน เหตุนี้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 2 จำคนร้ายไม่ได้ดังที่เบิกความ ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเบิกความยืนยันว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย เห็นและจำได้โดยแสงสว่างจากไฟฉายที่คนร้ายฉายส่องหาทรัพย์นั้น เห็นว่าเมื่อคนร้ายฉายไฟแสงย่อมพุ่งไปข้างหน้าผู้เสียหายที่ 1 จึงเห็นคนร้ายได้จากแสงสะท้อนเท่านั้นซึ่งสว่างอย่างเลือนรางไม่ชัดเจนและได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ว่า คนร้ายฉายไฟส่องหาทรัพย์เฉพาะภายในมุ้งโดยได้นาฬิกาข้อมือที่ผู้เสียหายที่ 2สวมใส่อยู่ กับเงินสดและสร้อยคอทองคำที่ห่อรวมกันวางไว้ที่มุมมุ้งตอนปลายเท้าเท่านั้น ดังนี้ ที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่าคนร้ายฉายไฟส่องหาทรัพย์อยู่นานราว 20 นาที จึงไม่น่าเชื่อและไม่น่าเชื่อว่า คนร้ายจะฉายไฟอยู่ตลอดเวลาด้วย ประกอบกับตลอดเวลาที่คนร้ายอยู่ภายในมุ้ง ผู้เสียหายที่ 1 ย่อมต้องอยู่ในภาวะตกใจกลัวอยู่ด้วย การที่จะจดจำรูปร่างหน้าตาคนร้ายให้ได้แม่นยำจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น จากการนำสืบของโจทก์ก็มีข้อน่าสังเกตว่าตอนที่ผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 คงได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีชัยวัฒน์ มังคะวัฒน์ว่า ที่ไปจับกุมจำเลยที่ 2 เพราะสืบทราบจากสายลับว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายด้วย แต่คำเบิกความดังกล่าวของร้อยตำรวจตรีชัยวัฒน์ เป็นคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีรายละเอียดว่าสายลับรู้มาได้อย่างไร ดังนี้เหตุที่ไปจับกุมจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าทราบจากสายลับจึงไม่สมเหตุสมผลจากการตรวจค้นบ้านของจำเลยทั้งสองก็หาได้ทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้เสียหายที่ถูกปล้นไปไม่ ตอนจับกุมจำเลยทั้งสองต่างก็ยอมให้จับกุมโดยดีไม่มีข้อพิรุธให้เป็นที่ประจักษ์ พยานโจทก์คงมีแต่ผู้เสียหายที่ 1ปากเดียวที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่จะฟังประกอบก็ไม่มี ที่ผู้เสียหายที่ 1ไปแจ้งความระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายก็ดีและเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้ ผู้เสียหายที่ 1 ดูแล้วยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายก็ดี ยังไม่สนิทใจที่จะเชื่อว่าจะไม่ผิดตัวพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์รายนี้ และเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนของจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ของกลางให้ริบ.