คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5570/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้ที่ดินและตึกแถวที่โจทก์นำยึดมาโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อผู้ร้องไม่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนไว้ จึงไม่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ทั้งต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจำนองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวโจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๘๖ และตึกแถวที่ปลูกสร้างบนที่ดินโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่จำนองโจทก์ไว้เพื่อขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่บิดามารดาของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นคนต่างด้าวเป็นผู้ซื้อให้กับบุตร ๑๐ คน แต่ได้ให้จำเลยลงชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนผู้ร้องและพี่น้องทั้งหมด จำเลยกับผู้ร้องอยู่ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวชั่วระยะหนึ่ง แล้วจำเลยได้แยกครอบครัวไปประกอบกิจการของตนเอง ไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินและตึกแถวอีกเป็นเวลากว่า ๑๕ ปีแล้ว คงมีแต่ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวตลอดมาโดยจำเลยและพี่น้องคนอื่นต่างได้รับทรัพย์สินอื่นจากการยกให้ของมารดาไปแล้ว มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินและตึกแถวอีกเลย ผู้ร้องครอบครองที่ดินและตึกแถวมาโดยสงบ เปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยไม่มีสิทธิและอำนาจนำที่ดินและตึกแถวพิพาทไปจดทะเบียนจำนองกับโจทก์ ขอให้มีคำสั่งปล่อยที่ดินและตึกแถวที่โจทก์นำยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินและตึกแถวที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย มิใช่เป็นของผู้ร้องที่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ก็เป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองที่ยังไม่จดทะเบียน ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองซึ่งได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนแล้วได้ ผู้ร้องไม่เคยครอบครองที่ดินและตึกแถวขอให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๘๖ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองว่า บิดามารดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวตั้งใจจะซื้อที่พิพาทให้แก่บุตรทุกคน ซึ่งมีอยู่ ๑๐ คน แต่ขณะที่ซื้อมาบุตรบางคนเป็นคนต่างด้าวบ้าง กำลังศึกษาอยู่บ้าง บางคนยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงได้ใส่ชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินแทนจำเลยอยู่ในที่พิพาทชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วแยกไปประกอบกิจการสถานที่แห่งอื่น จึงมีแต่ผู้ร้องทั้งสองที่ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบ โดยเปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลากว่า๑๕ ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และปรากฏจากทางนำสืบของผู้ร้องทั้งสองว่ายังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว ส่วนโจทก์นำสืบว่าได้รับจำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว เห็นว่า การได้ที่ดินและตึกแถวพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมเมื่อผู้ร้องทั้งสองมิได้จดทะเบียนสิทธิของตนไว้ จึงไม่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ทั้งต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสองส่วนปัญหาว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยสุจริตหรือไม่นั้น ผู้ร้องทั้งสองก็นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริตอย่างไร คงมีแต่ผู้ร้องที่ ๑ เพียงคนเดียวเบิกความลอย ๆ ว่า ทราบจากผู้ร้องที่ ๒ว่า โจทก์ฉ้อฉลเท่านั้น จึงฟังได้ว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น แม้จะฟังได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวที่โจทก์นำยึดโดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำร้องผู้ร้องทั้งสองก็ไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
พิพากษายืน

Share