แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัท ข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยเป็นแต่อัยการข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหา ข้อ ก.ม. ทั้งสองประการนี้ แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อ ก.ม.ทั้งสองประการนี้ด้วย ศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อ ก.ม.นี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ขั้นอัยการดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้เงินโจทก์ ๗,๒๐๒.๑๐ บาท โดยจำเลยทั้ง ๓ ร่วมกันและแทนกันซื้อเครื่องก่อสร้างต่าง ๆ ตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ได้ส่งให้จำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๔ ถึงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๗ ตามสำเนารวม ๑๑ ฉบับ ถึงกำหนดชำระโจทก์ได้ทวงถามแล้วก็ไม่ชำระและปฏิเสธว่าไม่เคยซื้อเครื่องก่อสร้าง จึงขอให้จำเลยร่วมกันและแทนกันใช้เงินดังกล่าวแล้วและดอกเบี้ย
จำเลยแก้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒,๓ เป็นกรรมการ จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะทำสถานที่ให้เรียบร้อยจึงได้จ้างเหมาบุคคลผู้หนึ่งให้จัดทำบุคคลผู้นั้นจะซื้อจากโจทก์หรือจากใครไม่เกี่ยวกับจำเลย สิ่งก่อสร้างที่ผู้รับเหมาหามาจะมีอยู่ในสถานที่ของจำเลยมีราคาไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท จำเลยไม่เคยมีข้อตกลงในการซื้อเครื่องก่อสร้างจากโจทก์ฟ้องโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดฐานใดเป็นฟ้องเคลือบคลุม การซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๗,๒๐๒.๑๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ๗ ครึ่งนับแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒,๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้วเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและเรื่องข้อบังคับของบริษัทจำเลยหรือไม่นั้น ในชั้นอุทธรณ์จำเลยเป็นแต่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อ ก.ม.ทั้งสองประการนี้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย คงมีข้อวินิจฉัยเฉพาะข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ได้เป็นหนี้เงินโจทก์อยู่จริงตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีซึ่งได้++ว่าฝ่ายจำเลยได้สั่งซื้อสิ่งของจากฝ่ายโจทก์จริงฎีกาของจำเลยที่ ๑ จึงฟังไม่ได้ พิพากษายืน.