คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5569/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยและ ส. เป็นสามีภริยากันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและ ส. ทำมาหาได้ร่วมกันดังนั้น จำเลยและ ส. เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาทส. จะจำหน่ายที่ดินและบ้านพิพาทโดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง แม้หนี้เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วมของจำเลยและ ส. ก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้ ส. โอนขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ย สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่าง ส. กับโจทก์ย่อมไม่ผูกพันจำเลย จำเลยยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย แต่โจทก์เข้าสวมสิทธิของ ส. ในการที่จะเรียกร้องให้แบ่งส่วนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาทและห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องอีก กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย เดิมบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของนายสุวิทย์ เหมือนโพธิ์ทอง กับจำเลยซึ่งหามาได้ร่วมกันระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายสุวิทย์ได้ยกให้แก่จำเลยเมื่อ พ.ศ. 2525 จำเลยเข้าครอบครองแต่ผู้เดียวโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา โจทก์และนายสุวิทย์สมคบกันทำนิติกรรมซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต โดยทราบอยู่แล้วว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว นิติกรรมซื้อขายจึงใช้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เดิมจำเลยและนายสุวิทย์ เหมือนโพธิ์ทอง อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 2 คนที่ดินและบ้านพิพาทตามใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เอกสารหมาย จ.1 เป็นทรัพย์สินที่จำเลยและนายสุวิทย์ทำมาหาได้ร่วมกัน นายสุวิทย์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทใส่ชื่อตนเองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว เมื่อเดือนพฤษภาคม 2525 นายสุวิทย์กับจำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งนำเงินไปผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่นายสุวิทย์ใช้ขับรับจ้างโดยนายสุวิทย์และจำเลยได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นนายสุวิทย์กับจำเลยได้เลิกร้างกันโดยนายสุวิทย์ไปมีภริยาใหม่อยู่ที่อื่น ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคม2528 นายสุวิทย์ได้โอนขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยโดยนายสุวิทย์ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจัดการโอนเอาเอง ปรากฏตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.2หลังจากนั้นโจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท แต่จำเลยยังครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทอยู่ปัญหามีว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติแล้วว่า จำเลยและนายสุวิทย์เป็นสามีภริยากันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและนายสุวิทย์ทำมาหาได้ร่วมกัน ดังนั้น จำเลยและนายสุวิทย์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเจ้าของรวมคนหนึ่งจะจำหน่ายทรัพย์สินโดยเจ้าของรวมคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้นายสุวิทย์โอนขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยดังนั้น แม้หนี้เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วมก็ตาม สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างนายสุวิทย์กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็หาผูกพันจำเลยไม่ เมื่อจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินและบ้านพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย แต่อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก บัญญัติให้เจ้าของรวมจำหน่ายส่วนของตนได้ โจทก์จึงเข้าสวมสิทธิของนายสุวิทย์ในการที่จะเรียกร้องให้แบ่งส่วนได้
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอเข้าสวมสิทธิของนายสุวิทย์ใหม่.

Share