คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5564/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อ ส. เป็นผู้แทนของจำเลยโดยเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยเพื่อจัดการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง โดย ส. มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ทั้งปวงเพื่อประโยชน์ในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เมื่อตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 เป็นเรื่องที่โจทก์ได้ออกเงินสำรองแทนเจ้าของร่วมในนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ค้างชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับให้แก่ ส. ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยเพื่อประโยชน์ในการจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยอันเป็นวัตถุประสงค์ของจำเลย บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 จึงอยู่ในขอบเขตอำนาจที่ ส. ผู้เป็นผู้จัดการของจำเลยที่จะกระทำได้ บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 จึงไม่เป็นโมฆะและมีผลผูกพันจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 299,399.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 299,399.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายอรรถวิทย์ ลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัท หรือนายศุภกิจ นางสาวณัฐสวรส ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัท กระทำการแทนโจทก์ได้ จำเลยเป็นนิติบุคคล โดยจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 โจทก์เป็นผู้สร้างอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์และเป็นผู้ขอจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยเมื่อปี 2539 โดยบริษัทซิตี้เดคคอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของโจทก์ และพนักงานบริษัทในเครือของโจทก์เป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยต่อกันมา จนปี 2552 นายศุภกิจ บุตรของนายอรรถวิทย์ กรรมการโจทก์เป็นผู้ดำเนินการแทนในฐานะผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย วันที่ 15 สิงหาคม 2556 นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยมีการประชุมใหญ่แต่งตั้งให้นายเสาวคนธ์ เป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย วันที่ 13 มีนาคม 2557 มีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างนายศุภกิจ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ กับนายเสาวคนธ์ ในฐานะผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย มีใจความว่า เจ้าของร่วมในนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยตามรายชื่อแนบท้าย ค้างชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับกับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ หากเจ้าของร่วมที่ค้างชำระเงินดังกล่าวขอใบปลอดหนี้ นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย ตกลงสัญญาว่า ก่อนออกใบปลอดหนี้ให้เจ้าของร่วมดังกล่าว จะต้องให้เจ้าของร่วมชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับ ที่ค้างชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ หรือหากเจ้าของร่วมดังกล่าวชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับที่ค้างชำระ นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย จะต้องนำเงินดังกล่าวมาชำระคืนให้กับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ ตามที่ได้สำรองจ่ายไปทั้งหมด โดยรายชื่อค้างชำระค่าส่วนกลาง อาคารบี แนบท้ายบันทึกข้อตกลง ลำดับที่ 7 ระบุว่า ห้องชุดเลขที่ 661/27 ระยะเวลาที่ค้างชำระเดือนมีนาคม 2546 ถึงเดือนมิถุนายน 2546 จำนวนเงิน 299,399.40 บาท ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2559 เจ้าของห้องชุดเลขที่ 661/27 ทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโดยนายเสาวคนธ์ ได้ทำหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 โดยรับเงินค่าส่วนกลางค้างชำระจากเจ้าของห้องชุดดังกล่าวแล้ว โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้ชำระเงิน 299,399.40 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การในประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า โจทก์นำเงินส่วนตัวของโจทก์ชำระเงินค่าส่วนกลางในแต่ละเดือนแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่ค้างค่าส่วนกลางไปก่อนจำนวนหลายราย โดยมิได้ระบุแจ้งชัดว่าโจทก์ชำระค่าส่วนกลางให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดรายใดบ้าง เมื่อใด และมิได้แนบเอกสารการชำระเงินแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเท่านั้น ฎีกาปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในส่วนนี้ จึงมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ตามที่ให้การต่อสู้ว่า คำฟ้องของโจทก์มิได้ระบุแจ้งชัดว่าโจทก์ชำระค่าส่วนกลางให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดรายใดบ้าง เมื่อใด และมิได้แนบเอกสารการชำระเงินแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้เต็มที่ นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดกรณีผู้ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 661/27 ตามบันทึกข้อตกลง ซึ่งจำเลยก็ให้การว่า บันทึกข้อตกลงตามฟ้องเป็นการทำขึ้นระหว่างนายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยกับโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากที่ประชุมคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย จึงไม่มีผลผูกพันจำเลย ดังนี้ การที่โจทก์มิได้ระบุว่าโจทก์ชำระค่าส่วนกลางให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเมื่อใด และมิได้แนบเอกสารการชำระเงินแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด จึงมิใช่คำฟ้องที่ทำให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้เต็มที่แต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องชำระเงิน 299,399.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย ทำบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 มิใช่การกระทำตามมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย และขัดต่อพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 36 (1) ประกอบมาตรา 33 และข้อบังคับของจำเลยข้อ 9.3 จึงตกเป็นโมฆะ นั้น พิจารณาตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย หมวดที่ 2 วัตถุประสงค์ ข้อ 5.1 ความว่า นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยมีวัตถุประสงค์ดำเนินการบำรุงรักษาระบบสาธารณูปโภค เรียกเก็บเงิน และหารายได้เพื่อใช้จ่ายในการดังกล่าว ตลอดจนการชำระภาษีอากรที่ทรัพย์ส่วนกลางจะต้องชำระให้แก่ทางราชการ… และหมวดที่ 4 ข้อ 9 ความว่า ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ 9.1 จัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลาง จัดซื้อและจัดหาทรัพย์สิน ตลอดจนให้มีบริการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่เจ้าของร่วมในอาคารชุด 9.2 มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ทั้งปวงเพื่อประโยชน์ในการจัดการและดูแลทรัพย์ส่วนกลาง 9.3 ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมเจ้าของร่วม หรือตามมติของคณะกรรมการ 9.4 มีหน้าที่เป็นผู้แทนของนิติบุคคลอาคารชุด กล่าวคือ มีอำนาจกระทำการใด ๆ ในนามนิติบุคคลอาคารชุด ได้ภายในขอบเขตที่กฎหมาย ข้อบังคับหรือมติของเจ้าของร่วม รวมทั้งมีอำนาจในการติดตามทวงหนี้ ฟ้องร้อง บังคับคดี เป็นต้น เมื่อพิจารณาประกอบบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างนายศุภกิจ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ กับนายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย ซึ่งระบุความว่า นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย รับว่าก่อนที่นายเสาวคนธ์ เข้าบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย มีเจ้าของร่วมในนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยตามรายชื่อแนบท้าย ค้างชำระ ค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับ กับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ หากเจ้าของร่วมที่ค้างชำระเงินดังกล่าวขอใบปลอดหนี้ นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยตกลงสัญญาว่า ก่อนออกใบปลอดหนี้ให้เจ้าของร่วมดังกล่าว จะต้องให้เจ้าของร่วมชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับ ที่ค้างชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ หรือหากเจ้าของร่วมดังกล่าวชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับ ที่ค้างชำระ ให้นายเสาวคนธ์ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย จะต้องนำเงินดังกล่าวมาชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุดรุ่งเรืองคอนโดทาวน์ โครงการ 2 หรือโจทก์ตามที่ได้สำรองจ่ายไป เมื่อนายเสาวคนธ์เป็นผู้แทนของจำเลยโดยเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลย มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยเพื่อจัดการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง โดยนายเสาวคนธ์มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ทั้งปวงเพื่อประโยชน์ในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เช่นนี้ เมื่อตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 เป็นเรื่องที่โจทก์ได้ออกเงินสำรองแทนเจ้าของร่วมในนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ค้างชำระค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำและค่าปรับ ให้แก่นายเสาวคนธ์ ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยเพื่อประโยชน์ในการจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยอันเป็นวัตถุประสงค์ของจำเลย บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 จึงอยู่ในขอบเขตอำนาจที่นายเสาวคนธ์ผู้เป็นผู้จัดการของจำเลยที่จะกระทำได้ บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.4 จึงไม่เป็นโมฆะและมีผลผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยก็มิได้ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ได้ออกเงินสำรองดังกล่าวตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลง และได้ความจากนายเสาวคนธ์เบิกความรับว่า จำเลยได้รับเงินค่าส่วนกลางจากเจ้าของห้องชุดเลขที่ 661/27 ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องชุดที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์ได้ออกเงินสำรองแทนเจ้าของร่วมห้องชุดนี้แล้ว เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดคืนเงินสำรองห้องชุดเลขที่ 661/27 ให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,500 บาท แทนโจทก์

Share