คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้ปิดประกาศแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้โจทก์ทราบหน้าศาล เมื่อถึงวันนัดโจทก์ไม่มาศาล จะถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านในวันดังกล่าวแล้วไม่ได้ เพราะกำหนดเวลายังมิได้ล่วงพ้นไปสิบห้าวันนับแต่วันที่ปิดประกาศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ต้องถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาในวันที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษา และโจทก์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปิดทางภารจำยอมโดยอายุความ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นทางภารจำยอมให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภารจำยอม ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามบนทางภารจำยอมออกไป ถ้าไม่ปฏิบัติให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนเองโดยจำเลยต้องออกค่าใช้จ่ายจำนวน 3,000 บาท ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ทางภารจำยอมต้องลดหรือเสื่อมความสะดวกจำเลยให้การว่า คนในที่ดินของโจทก์ถือวิสาสะขออาศัยที่ดินของจำเลยเดินผ่านไปออกถนนสาธารณะ ที่ดินจำเลยจึงไม่ตกเป็นภารจำยอม คนในที่ดินโจทก์ร่วมกันบุกรุกที่ดินจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โดยยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังฝ่ายเดียวจำเลยแก้อุทธรณ์คัดค้านว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินของจำเลยตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยไปจดทะเบียน ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามบนทางภารจำยอมออกไป ถ้าไม่ปฏิบัติให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนเองโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายจำนวน3,000 บาท ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งทางภารจำยอมต้องลดหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษา ไม่มีบทใดบัญญัติให้ยื่นภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันทราบคำพิพากษา อีกประการหนึ่งในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 22 มีนาคม 2527 ที่นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 12 เมษายน 2527 โจทก์ลงชื่อทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว ครั้นถึงวันนัดโจทก์ไม่มาศาลก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในวันนั้น ซึ่งสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปวันที่ 24 เมษายน 2527 นั้น เห็นว่าในวันที่ 12 เมษายน 2527ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาให้ปิดประกาศแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้โจทก์ทราบหน้าศาล ดังนั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการปิดประกาศแจ้งนัดให้โจทก์ทราบที่หน้าศาลนั้น กำหนดเวลามิได้ล่วงพ้นไปสิบห้าวันนับแต่วันที่ปิดประกาศตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 เมื่อเป็นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527แล้วไม่ได้ โจทก์ยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษาวันที่ 15 มิถุนายน 2527และไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบว่าได้มีการอ่านคำพิพากษาก่อนวันดังกล่าว จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาในวันที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษา ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว และกรณีนี้ไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายหรือเสียสิทธิแต่ประการใดประกอบกับศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยเนื้อหาของคดีมาแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาใหม่อีก ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่นัดอ่านคำพิพากษาไว้ในตอนแรกแล้ว ครั้นถึงวันนัด ศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันนั้นด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ก็จะต้องแจ้งวันนัดให้โจทก์ทราบจะถือว่าโจทก์ทราบวันนัดที่เลื่อนไปไม่ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามบนทางภารจำยอมออกไป ให้โจทก์ดำเนินการรื้อเองโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 3,000 บาทนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2527 เพิ่มเติมบทมาตรา 296 ทวิ แล้ว โจทก์ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้ จะขอรื้อถอนเองมิได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามเอง โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 3,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share