คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5563/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลย และโจทก์ยินยอมให้ผู้ค้ำประกันนำที่ดินมาวางค้ำประกันในการถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย โดยถ้าผู้ร้องแพ้ ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่มีข้อความระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี จึงไม่มีหนี้ที่ผู้ค้ำประกันจะต้องชำระตามสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันย่อมระงับสิ้นไปทันทีศาลชอบที่คืนโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ค้ำประกัน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเพื่อบังคับคดี ในคดีที่มีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โดยโจทก์ยินยอมให้ผู้ค้ำประกันนำที่ดินมาวางประกันในการถอนการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ผู้ค้ำประกันจึงขอโฉนดที่นำมาวางคืน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำขอของผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่า ศาลชอบที่จะคืนโฉนดที่นำมาวางค้ำประกันให้แก่ผู้ค้ำประกันหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์หนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 14 เมษายน 2526 ซึ่งพิพาทกันในคดีนี้แล้ว เห็นว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวระบุว่าทำที่ศาลแพ่งต่อหน้ารองจ่าศาลปฏิบัติราชการแทนจ่าศาลหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมีข้อความสำคัญว่าผู้ค้ำประกันขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลแพ่งว่าถ้าผู้ร้องแพ้คดีโจทก์ และไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นเท่าใด ผู้ค้ำประกันยอมให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์ที่ผู้ค้ำประกันได้นำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาลได้ทันทีคือที่ดินโฉนดเลขที่ 983 แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นคือศาลแพ่งพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีจึงย่อมไม่มีหนี้ที่ผู้ค้ำประกันจะต้องชำระตามสัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันย่อมระงับสิ้นไปทันที ทั้งนี้เพราะสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่มีข้อความระบุว่าผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีถึงที่สุด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้คืนโฉนดที่ดินให้ผู้ค้ำประกัน

Share