แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งห้ามชั่วคราวของศาลมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับตึกของจำเลยนั้น เป็นวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา โดยบริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
คำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าวแล้วมีผลเพียงห้ามจำเลยมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับตึกของจำเลย การที่ศาลแจ้งคำสั่งให้นายอำเภอทราบก็เพื่อมิให้รับจดทะเบียนนิติกรรมใด ๆ ที่จำเลยจะลักลอบกระทำโดยไม่สุจริต มิได้หมายความว่า เป็นการห้ามยึดหรืออายัดตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นเสียเลย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 นายอำเภอมีอำนาจยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรเพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างได้โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องแม้ศาลจะมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับตึกของจำเลย และแจ้งคำสั่งให้นายอำเภอทราบแล้ว แต่เมื่อจำเลยค้างชำระค่าภาษีอากร นายอำเภอก็มีอำนาจยึดตึกของจำเลยมาขายทอดตลาดชำระค่าภาษีอากรค้างนั้นได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อตึกของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดของนายอำเภอ และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว การขายทอดตลาดบริบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว นายอำเภอจะสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดมิได้ แม้อำเภอจะยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 เมื่อการขายทอดตลาดตึกได้กระทำก่อนโจทก์บังคับคดี โจทก์บังคับคดีเอาแก่ตึกดังกล่าวให้เป็นการกระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง ซึ่งอาจบังคับเหนือตึกนั้น หาได้ไม่
ผู้ร้องคนเดียวยื่นคำร้องขัดทรัพย์แยกกันเป็น 2 คดี คดีแรกร้องขัดทรัพย์เฉพาะตึก ส่วนคดีหลังร้องขัดทรัพย์เฉพาะเตียงโต๊ะเก้าอี้ และเครื่องที่นอน แม้ศาลจะร่วมพิจารณาพิพากษาและผู้ร้องฎีการวมกันมา ก็ต้องถือทุนทรัพย์แต่ละคดีเป็นเกณฑ์พิจารณาในการใช้สิทธิฎีกา เมื่อคดีหลังเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าพันบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา นำยึดตึกโรงแรมนฤมิตร และทรัพย์สิ่งของในโรงแรมเพื่อบังคับคดีอ้างว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์เป็น ๒ สำนวน สำนวนแรกร้องว่า ตึกโรงแรมนฤมิตรเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ซึ่งได้มาจากการขายทอดตลาดของคณะกรรมการขายทอดตลาดอำเภอเมืองลพบุรี และได้ชำระราคาครบถ้วนทั้งได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว สำนวนหลังร้องว่าทรัพย์สิ่งของในโรงแรม ผู้ร้องซื้อจากจำเลยที่ ๑ ไว้ก่อนแล้ว มิใช่เป็นของจำเลย ขอให้สั่งถอนการยึด
โจทก์คัดค้านว่า การที่ผู้ร้องซื้อตึกพิพาทไว้จากการขายทอดตลาดของนายอำเภอเมืองลพบุรี เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะศาลมีคำสั่งอายัดไว้ก่อนที่นายอำเภอจะยึดมาขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของจะร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ ส่วนทรัพย์สิ่งของในโรงแรม ผู้ร้องซื้อโดยไม่สุจริต ไม่มีการซื้อขายกันจริงจัง
ศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องได้ซื้อตึกพิพาทจากเจ้าพนักงานอำเภอเมืองลพบุรี เป็นทางการจริง แต่ทางอำเภอได้ประกาศยกเลิกการขายทอดตลาดแล้ว ตึกพิพาทจึงยังคงเป็นของจำเลยอยู่ มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาต่อมาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์แยกกันเป็น ๒ คดีคือ คดีแรกร้องขัดทรัพย์เฉพาะตึกโรงแรมนฤมิตร ราคา ๘๐,๐๐๐ บาท ส่วนคดีหลังร้องขัดทรัพย์เฉพาะเตียงโต๊ะเก้าอี้และเครื่องนอนที่เก็บรักษาอยู่ในโรงแรมราคา ๓,๐๐๐ บาท แม้ศาลจะรวมพิจารณาพิพากษา และผู้ร้องฎีการวมกันมาก็ตาม ก็ต้องถือว่าคดีหลังเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท จะเอาทุนทรัพย์ในคดีแรกมารวมด้วยไม่ได้ เพราะเป็นคนละคดีกัน และข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับสิทธิของคดีทั้งสองสำนวนนี้ก็ต่างกัน เมื่อคดีหลังมีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ เพราะฎีกาของผู้ร้องในส่วนที่เกี่ยวกับคดีหลังนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงให้ยกฎีกาของผู้ร้องสำหรับสำนวนคดีหลัง คงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเฉพาะสำนวนแรกเกี่ยวกับตึกโรงแรมนฤมิตร
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องกับร้องขอให้ยึดหรืออายัดมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งรวมทั้งตึกที่เป็นโรงแรมนฤมิตรที่พิพาทไว้ก่อนมีคำพิพากษาศาลไต่สวนแล้วสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์ตามที่โจทก์ขอและได้มีหมายห้ามชั่วคราวมิให้นายอำเภอเมืองลพบุรีและจำเลยที่ ๑ กระทำการดังที่ศาลสั่งส่งให้นายอำเภอเมืองลพบุรี และจำเลยที่ ๑ ทราบแล้ว ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับ และศาลได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยอุทธรณ์ และร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งว่า ถ้าจำเลยหาประกันมาให้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควร จึงให้ทุเลาการบังคับคดี มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง แต่จำเลยไม่ได้หาประกัน โจทก์จึงร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ศาลออกหมายบังคับคดีวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๔ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดตึกโรงแรมนฤมิตรรายพิพาทเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๐๔ ครั้นวันที่ ๗ เดือนเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีได้มีหนังสือถึงศาลว่า อำเภอได้ทำการยึดและขาดทอดตลาดตึกโรงแรมนฤมิตรที่พิพาทไปแล้วแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๔ ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เพราะจำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าภาษีเงินได้อยู่ ๒๓,๔๗๒ บาท หากปรากฏว่า ขายทอดตลาดได้เงิน ๘๐,๐๐๐ บาท เมื่อหักค่าภาษีแล้ว เงินส่วนที่เหลือได้คืนให้จำเลยที่ ๑ ไป
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ตามหนังสือดังกล่าว โจทก์แถลงว่า ราคาที่ขายได้ ๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์พอใจ ขอให้ส่งเงินที่เหลือจากหักค่าภาษีส่งมาศาล แต่ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถส่งเงินที่เหลือซึ่งรับไปคืนกลับมาได้ อำเภอจึงสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดแล้วศาลก็ประกาศขายทอดตลาดใหม่ ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อตึกรายพิพาทจากการขายทอดตลาดของจำเลย จึงมาร้องขัดทรัพย์เป็นคดีนี้
ปัญหาจึงมีว่า ผู้ร้องจะมีสิทธิในตึกโรงแรมนฤมิตรรายพิพาทซึ่งซื้อจากการขายทอดตลาดของจำเลยหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลจะได้มีคำสั่ง ห้ามชั่วคราวมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับตึกพิพาท ซึ่งเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาก็จริง แต่วิธีการชั่วคราวนี้เป็นวิธีการตามกฎหมายอย่างหนึ่งเพื่อคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาโดยบริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หาใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ ซึ่งถ้าชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ก็ต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นคำสั่งห้ามชั่วคราวในคดีนี้จึงมีผลเพียงห้ามจำเลยมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับตึกพิพาทเท่านั้นเอง และการที่ศาลแจ้งคำสั่งให้อำเภอทราบก็เพื่อว่า ถ้าจำเลยที่ไม่สุจริตไปลักลอบกระทำก็จะได้ไม่ทำให้ เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มิได้หมายความเป็นการห้ามยึดหรืออายัด ตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือกฎหมายอื่นเสียเลยทีเดียว ฉะนั้น การที่นายอำเภอได้ยึดและขายตึกพิพาทไปเพื่อชำระค่าภาษีที่ค้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจไว้โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องศาลก่อน จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย จะเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้ การที่อำเภอกลับไปสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดจึงเป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อตึกพิพาทจากการขายทอดตลาด และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วแม้อำเภอจะยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๐ และการขายทอดตลาดได้กระทำก่อนโจทก์บังคับคดีและยึดตึกพิพาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิในตึกพิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับตึกพิพาทได้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๘๗
พิพากษากลับให้ปล่อยการยึดตึกโรงแรมนฤมิตรที่พิพาท