คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นมข้นหวานที่จำเลยผลิตขึ้นมีจุลินทรีย์หรือบักเตรี เกินกว่าจำนวนตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐาน ส่วนจะถึงขั้นเป็นอาหารปลอมหรือไม่ต้องเป็นอาหารที่ทำให้เกิดโทษหรือเป็นอันตราย จุลินทรีย์หรือบักเตรีนั้นมีทั้งชนิดที่ทำให้เกิดโทษและชนิดที่ไม่เป็นโทษ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า การมีจุลินทรีย์หรือบักเตรีเกินจำนวนที่ระบุไว้เป็นโทษหรือเป็นอันตรายนมข้นหวานดังกล่าวจึงมิใช่อาหารปลอมตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 25(2) ประกอบด้วยมาตรา 27(5)แต่การมีจุลินทรีย์หรือบักเตรีเกินจำนวนดังกล่าวเป็นอาหารผิดมาตรฐานตามมาตรา 25(3) ประกอบด้วยมาตรา 28 ศาลจึงมีอำนาจลงโทษฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192เพราะเป็นบทที่มีโทษเบากว่าที่โจทก์ฟ้อง
นิติบุคคลจะดำเนินงานหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ด้วยตนเองไม่ได้ต้องกระทำโดยผู้แทน จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินหรือปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำผิด ก็ได้ชื่อว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่2ด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตอาหารปลอมขึ้นเพื่อจำหน่ายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ.2522 มาตรา 5, 6,25, 27, 59 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 26 (พ.ศ.2522) เรื่องกำหนดนมโคเป็นอาหารควบคุมเฉพาะและกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานและวิธีการผลิตลงวันที่ 13 กันยายน 2522 ข้อ 12 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ริบของกลางจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ.2522 มาตรา25, 27, 59 ปรับคนละ 20,000 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลางจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ตัวอย่างนมข้นหวาน 3 ชนิดที่เจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยานำไปจากบริษัทจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อทำการตรวจวิเคราะห์แล้วปรากฏว่าเฉพาะนมข้นหวานแปลงไขมันตรานกแก้วมีจุลินทรีย์จำนวน 2,890,000 ต่อมิลลิลิตรหรือกรัมส่วนนมอีก 2 ชนิดมีจุลินทรีย์ไม่เกิน 10,000 ต่อมิลลิลิตรหรือกรัมมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองจะมีความผิดตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 26 (พ.ศ.2522) ข้อ 1 (3) (5) และข้อ 12 (8) กำหนดให้นมข้นและนมข้นหวานแปลงไขมันมีบักเตรีไม่เกิน 10,000 ต่อนม 1 กรัมตามคำเบิกความของนางสุมณฑา วัฒนสินธุ์นักวิทยาศาสตร์โท เจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาหารทางจุลชีววิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุขพยานโจทก์ว่าพยานได้ทำการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างนมที่เจ้าหน้าที่ยึดไปจากบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสามชนิดแล้วปรากฏว่าเฉพาะนมข้นหวานแปลงไขมันตรานกแก้วพบจุลินทรีย์จำนวนถึง 2,890,000 ต่อมิลลิลิตรหรือกรัมเกินกว่าจำนวนตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้มีบักเตรีได้ไม่เกิน 10,000ต่อนม 1 กรัมปรากฏตามรายงานการตรวจวิเคราะห์เอกสารหมาย ป.จ.3จึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว ส่วนจะถึงขั้นเป็นอาหารปลอมนั้นต้องปรากฏว่าอาหารที่ผลิตขึ้นดังกล่าวแตกต่างไปจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรือเป็นอันตรายโจทก์มีนางสุมณฑา วัฒนสินธุ์เพียงปากเดียวเบิกความว่าจากการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างนมข้นหวานแปลงไขมันตรานกแก้วไม่พบจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ส่วนที่จะเป็นโทษต่อร่างกายหรือจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่นั้นไม่ยืนยัน ถ้ามีจุลินทรีย์มากนับล้าน ๆ กลุ่มก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นทำให้เกิดท้องร่วง ท้องเดินได้เห็นว่าคำเบิกความดังกล่าวมิได้ยืนยันว่าจุลินทรีย์หรือบักเตรีที่ตรวจพบนั้นทำให้เกิดโทษต่อผู้บริโภคโดยตรง และปรากฏจากคำเบิกความนางสุมณฑาต่อไปว่าบักเตรีนั้นมีทั้งชนิดที่ทำให้เกิดโทษ และชนิดที่ไม่เป็นโทษ บางชนิดจะให้ประโยชน์ทางผลิตอาหาร ประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าการที่มีบักเตรีในนมข้นหวานแปลงไขมันดังกล่าวทำให้ส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหารขาดหรือเกินร้อยละสามสิบจากเกณฑ์ต่ำสุดหรือสูงสุด ดังนั้นนมข้นหวานตรานกแก้วดังกล่าว จึงมิใช่อาหารปลอมตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ.2522 มาตรา 25 (2) ประกอบกับมาตรา 27 (5) แต่นมข้นหวานตรานกแก้วดังกล่าวยังเป็นอาหารที่ไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากมีจุลินทรีย์หรือบักเตรีเกินจำนวนที่ระบุไว้จึงเป็นอาหารผิดมาตรฐานตามมาตรา 25 (3) ประกอบกับมาตรา 28 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษตามมาตรานี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192เพราะเป็นบทมีโทษเบากว่าที่โจทก์ฟ้องที่จำเลยอ้างว่า การที่เจ้าหน้าที่ตรวจวิเคราะห์หาบักเตรีในนมรายพิพาททำการตรวจวิเคราะห์โดยผิดหลักวิชาการและมาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนดไว้ กล่าวคือนางสุมณฑาได้นำนมข้นของจำเลยที่ 1 ไปเข้าตู้เพาะเชื้อเป็นเวลานานถึง 14 วันซึ่งตามหลักวิชาการควรเก็บนมไว้เพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการนำนมของจำเลยที่ 1ไปเก็บไว้ในตู้เพาะเชื้อนานเกินไป ย่อมทำให้บักเตรีที่มีอยู่เพิ่มจำนวนได้ง่าย ข้อนี้เห็นว่านมข้นที่เจ้าหน้าที่ยึดมาจากจำเลยที่ 1 นั้นรวม 3 ชนิดเข้าเก็บไว้ในตู้เพาะเชื้อเหมือนกันแต่ผลการตรวจวิเคราะห์คงพบจุลินทรีย์ที่เกินจำนวน 10,000 ต่อกรัมเพียงนมข้นหวานตรานกแก้วเท่านั้น ส่วนนมอีก 2 ชนิดไม่พบจุลินทรีย์เกินกว่าจำนวนดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นนางสุมณฑาผู้ตรวจวิเคราะห์พยานโจทก์เบิกความว่าจุลินทรีย์หมายถึงบักเตรีรวมทั้งยีสต์และราตามรายงานว่าเป็นจุลินทรีย์ก็เพื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาการเพราะบักเตรีเป็นหนึ่งในจุลินทรีย์จากคำพยานโจทก์ผู้ทำการตรวจวิเคราะห์นมข้นหวานตรานกแก้วของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวฟังได้ว่าคำว่าจุลินทรีย์ในรายงานการตรวจวิเคราะห์นั้นหมายถึงบักเตรีนั่นเอง จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดดังวินิจฉัยข้างต้น
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้นจำเลยที่ 2 รับว่าได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2523 และเป็นตลอดมาจนเกิดเหตุคดีนี้ เห็นว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงบุคคลสมมุติโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้นดำเนินหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วยตนเองไม่ได้ต้องกระทำโดยผู้แทนจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินหรือปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัทจำเลยที่ 1 กระทำผิดก็ได้ชื่อว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ.2522 มาตรา 25 (3), 28, 60 ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 20,000 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง’.

Share