แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งบุตรคืนมาอยู่ในความปกครองของโจทก์จำเลยฟ้องแย้งขอให้บุตรเปลี่ยนไปอยู่ในความปกครองของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนับแต่วันฟ้องด้วยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้เปลี่ยนผู้ปกครองบุตรจากโจทก์เป็นจำเลย และให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามฟ้องแย้งแต่ไม่ได้ระบุว่าให้ชำระตั้งแต่เมื่อใด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ดังนี้ ถือเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมให้ครบถ้วน โดยให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันโดยตกลงให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง ต่อมาจำเลยได้นำบุตรทั้งสองไปอยู่กับจำเลย จำเลยไม่เหมาะสมจะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง ขอบังคับให้จำเลยส่งบุตรทั้งสองคืนมาอยู่ในความอุปการะของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่จดทะเบียนหย่าโดยตกลงให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเพราะโจทก์อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการเบิกค่าเลี้ยงดูบุตรจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยที่โจทก์ทำงานอยู่ แต่บุตรทั้งสองคงอาศัยอยู่กับจำเลยตลอดมาโจทก์ไม่เคยอุปการะเลี้ยงดู ขอให้ยกฟ้องและบังคับตามฟ้องแย้งให้บุตรทั้งสองคนอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของจำเลยกับให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้เปลี่ยนผู้ปกครองบุตรจากโจทก์เป็นจำเลย และให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันแล้วประมาณ10 เดือน โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับนางนฤมลโดยรู้จักกันก่อนจดทะเบียนสมรสประมาณ 1-2 เดือน นางนฤมลมีบุตรชายติดมาด้วย 1 คน อายุ 9 ปี และโจทก์มีบุตรกับนางนฤมลอีก 1 คน เป็นหญิงอายุประมาณ 1 เดือน โจทก์มีรายได้เดือนละประมาณ10,000 บาท ส่วนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจำเลยพาไปอยู่กับบิดามารดาจำเลยที่บ้านเลขที่ 3350 ถนนสุขุมวิท ซอยหน้าวัดบางนาในแขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียนที่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเรียนหนังสือ และบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเบิกความเป็นพยานของจำเลยว่าประสงค์จะอยู่กับจำเลยประกอบกับพนักงานคุมประพฤติผู้สืบเสาะข้อเท็จจริงและผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางได้ให้ความเห็นไว้ในรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เยาว์ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางว่าเพื่อความผาสุกและประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองสมควรให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ ดังนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนเห็นว่า โจทก์มีภริยาใหม่มีบุตร 1 คน และมีบุตรติดภริยาใหม่อีก 1 คนเป็นการเพิ่มภาระเลี้ยงดูให้แก่โจทก์มากขึ้นอยู่แล้ว ส่วนจำเลยแม้จะไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาจำเลยและมีรายได้เพียงเดือนละ 4,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่ามีสามีใหม่แต่อย่างใด หากอำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองตกอยู่กับจำเลยแล้วก็น่าจะทำให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้รับประโยชน์และมีความผาสุกยิ่งกว่าอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์จึงสมควรให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนั้นเห็นว่า โจทก์มีรายได้มากกว่าจำเลย สมควรให้โจทก์รับผิดชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเงินเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองและให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองตามฟ้องแย้งโดยไม่ระบุว่าตั้งแต่เมื่อใด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเสียให้ครบถ้วนโดยให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา”
พิพากษายืน เว้นแต่ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู ตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา