คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5552/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี เมื่อมีเหตุขัดข้องในการชำระบัญชี และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาล ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้โจทก์จำเลยเสนอหลักฐานต่าง ๆต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ หาใช่เป็นการมอบอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ต่อมาคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน และตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม และมีหมายตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชีได้รายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่า จำเลยไม่ยอมรับบัญชีงบดุลที่โจทก์ได้จัดทำขึ้นและโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้ทำการขายที่ดินอันเป็นทรัพย์ของผู้เป็นหุ้นส่วน แต่จำเลยขอให้ดำเนินการต่อไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชีไม่สามารถกำหนดได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ลงหุ้นตามส่วนของแต่ละคนเป็นจำนวนคนละเท่าใด และไม่อาจดำเนินการรวบรวมทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนได้ จึงรายงานเพื่อให้ศาลพิจารณาตามที่เห็นสมควรและกำหนดการลงหุ้นของแต่ละฝ่ายให้แน่นอนด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ถึงวันนัด โจทก์แถลงว่าหมดพยานหลักฐานที่จะส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อชำระบัญชี ส่วนจำเลยทั้งสองแถลงว่ายังมีพยานหลักฐานที่จะส่งเพิ่มเติมอีก ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้คู่ความส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดถือว่าไม่ติดใจที่จะส่ง แล้วให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานแล้วแจ้งให้คู่ความทราบ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ตกลงเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนและตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 6 เป็นผู้ชำระบัญชี ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและมีหมายตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชีจึงมีอำนาจหน้าที่ในการชำระบัญชีตามที่โจทก์จำเลยทั้งสองตกลงกัน ในการชำระบัญชีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชีย่อมต้องชำระบัญชีไปตามหลักฐานทางบัญชี และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สินของหุ้นส่วนรวมตลอดถึงจำนวนทุนของผู้เป็นหุ้นส่วนด้วย เมื่อมีเหตุขัดข้องในการชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้โจทก์จำเลยทั้งสองเสนอหลักฐานต่าง ๆต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชีเพื่อประโยชน์ในการชำระบัญชีได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดถือว่าไม่ติดใจจะส่ง แล้วให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานแล้วแจ้งให้คู่ความทราบนั้น คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดแนวทางให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นไปตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยทั้งสองนำมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามอำนาจหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีเท่านั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งได้ หาใช่เป็นการมอบอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่โจทก์ฎีกาไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share