แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นมารดาของนางสาว ศ. ซึ่งถูกผู้ตายเข้าไปฉุดคร่าถึงภายในบ้าน โดยนางสาว ศ. ไม่สามารถดิ้นรน ขัดขืนได้เมื่อจำเลยเข้าไปขัดขวางห้ามปรามกลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลงการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปในเวลาฉุกละหุก 4 นัดติด ๆ กันเป็นเพราะจำเลยไม่มีโอกาสทันพิเคราะห์ว่าผู้ตายมีอาวุธติดตัวหรือไม่ ทั้งไม่มีเวลาไตร่ตรอง ด้วยว่าหากใช้ปืนยิงขู่เพียงนัดเดียวจะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหยุดการกระทำที่อุกอาจลงได้ประกอบกับผู้ตายเป็นชาย ฉกรรจ์แข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งเป็นหญิงและไม่มีทางเลือกที่จะป้องกันด้วยวิธีอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและบุตรสาวให้พ้นจากการถูกฉุดคร่า ซึ่งเป็นภยันตรายอันปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าโดยพอสมควรแก่เหตุ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 ให้จำคุก 6 ปี จำเลยลุแก่โทษเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยและบุตรสาว แม้จะยิงหลายนัด แต่ขณะนั้นเป็นเวลาชุลมุนหลังจากยิงนัดแรกแล้วผู้ตายก็ไม่หยุดยั้ง จำเลยจึงต้องยิงซ้ำอีกมิฉะนั้นผู้ตายอาจเข้าทำร้ายและฉุดคร่าเอาบุตรสาวของจำเลยไปได้จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมไม่มีความผิดพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…การที่ผู้ตายบุกรุกเข้าไปฉุดคร่านางสาวศิริคำบุตรสาวจำเลยเพื่อให้ไปอยู่กับผู้ตายถึงในบ้านของจำเลยแม้บุตรสาวจำเลยปัดป้องดิ้นรนก็หาได้รอดพ้นจากการฉุดค่าของผู้ตายไม่ครั้นจำเลยเข้าขัดขวางห้ามปรามระงับเหตุร้าย กลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลง แล้วผู้ตายตรงเข้าไปหาบุตรสาวจำเลยอีก และกำลังจะพาบุตรสาวจำเลยออกจากบ้านไปต่อหน้าจำเลยผู้เป็นมารดาซึ่งขณะนั้นมีแต่ผู้หญิง อีกทั้งจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยกลัวบุตรสาวจะถูกทำร้ายจึงยิงไปที่ผู้ตายด้วยความตกใจไม่ทราบว่ากี่นัดซึ่งก็เจือสมกับคำเบิกความของบุตรสาวจำเลยตอบทนายโจทก์ร่วมว่าเสียงปืนดังหลายนัดติด ๆ กัน ไม่ใช่ผู้ตายล้มลงแล้วจึงยิงซ้ำ แสดงว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายในทันทีทันใด เพื่อช่วยเหลือบุตรสาวของตนให้พ้นจากภยันตรายที่ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุร้ายขึ้นโดยอุกอาจร้ายแรงภายในบ้านของจำเลย ประกอบกับผู้ตายเป็นชายอยู่ในวัยฉกรรจ์แข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งเป็นหญิงมีบุตรแล้ว และตกอยู่ในภาวะที่จะต้องช่วยเหลือบุตรสาวของตนให้พ้นภยันตรายเฉพาะหน้าเช่นนี้ จึงไม่มีช่วงเวลาพอที่จะพินิจพิเคราะห์ว่าผู้ตายมีอาวุธติดตัวมาด้วยหรือไม่ แม้วิญญูชนซึ่งตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับจำเลยก็ไม่มีเวลาพอที่จะไตร่ตรองว่าสมควรจะใช้อาวุธปืนยิงขู่เพียงนัดเดียวก็พอที่จะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหยุดการกระทำที่อุกอาจนั้นได้ ดังที่โจทก์ฎีกา เพราะขณะนั้นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่ ผู้ตายก็หาได้เกรงกลัวไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายในเวลาฉุกละหุกกระทันหัน 4 นัดติด ๆ กัน เช่นนี้จำเลยย่อมไม่มีโอกาสที่จะหยุดคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากกระทำไปเพื่อป้องกันให้บุตรสาวของตนรอดพ้นจากการฉุดคร่าของผู้ตายที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าภายในบ้านของตน และภยันตรายนั้นยังเกิดขึ้นต่อเนื่องกันอยู่โดยไม่มีทางเลือกที่จะป้องกันด้วยวิธีการอื่น ฉะนั้นตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุผลอันสมควรที่วิญญูชนซึ่งตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับจำเลยจำต้องตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงในทันทีทันใด เพื่อช่วยเหลือบุตรของตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและบุตรสาวให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ปรากฏเฉพาะหน้าโดยพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมไม่มีความผิดนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.