แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า “นับแต่วันรับแจ้งความ” ตาม มาตรา 31 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มีความหมายว่านับแต่วันส่งคำชี้ขาดไปถึงผู้รับประเมิน หรือ นับแต่วันผู้รับประเมินรับคำชี้ขาด ส่วนข้อความตอนท้ายที่ว่า “ให้ทราบคำชี้ขาด” นั้น เป็นเพียงถ้อยคำขยายความให้ชัดเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่านับแต่วันที่ได้ทราบข้อความในคำชี้ขาด แม้ตาม มาตรา 31 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 จะใช้คำว่า ผู้รับการประเมินก็ตามแต่เมื่อโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดแล้วโจทก์จึงต้องนำคดีมาฟ้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่ากิจการโรงงานสุราได้รับคำชี้ขาดตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่ากิจการโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตามสัญญาเช่าฉบับปีพ.ศ. 2523-2537 ได้กำหนดให้โจทก์เป็นผู้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนผู้ให้เช่า โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินปีละ 18,387.50 บาท เมื่อวันที่ 26ตุลาคม 2530 กรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่ามีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2530 สำหรับโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ที่ถนนพระสุเมรุ จำนวน 397,200 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 และต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2531กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2531 สำหรับโรงเรือนและที่ดินที่ตั้งอยู่ที่ถนนวัดสามพระยา จำนวนเงิน 45,567.50 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1ประจำปี พ.ศ. 2530 และ 2531 ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินต่อจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้นำค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีพ.ศ. 2530 จำนวนเงิน 397,200 บาท และ 2531 จำนวนเงิน 45,567.50บาท ไปชำระเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2530 และวันที่ 26 พฤษภาคม 2531แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 2 มีคำชี้ขาดให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่ประเมิน กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับคำชี้ขาดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2533 โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาถอนการประเมินและคำชี้ขาด แต่กรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งว่าไม่สามารถฟ้องร้องจำเลยทั้งสองได้เพราะขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีการที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมปฏิเสธไม่ยอมดำเนินคดีให้อ้างว่าขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้แก่จำเลยที่ 1สำหรับปี พ.ศ. 2530 และ 2531 รวมเป็นเงินจำนวน 442,767.50 บาทอันเป็นการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินซ้ำซ้อนกัน 2 ครั้งขอให้พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2530 และ 2531กับให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน จำนวนเงิน 442,767.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มีฐานะเป็นผู้เช่าทรัพย์สินจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และไม่ถือว่าเป็นผู้รับประเมิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หากศาลฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วทั้งนี้เพราะกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้รับประเมินและเป็นผู้มีอำนาจยื่นคำร้องเพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ ได้รับแจ้งคำชี้ขาดตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2533แต่โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2533 ซึ่งเกินกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดดังกล่าวตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดคำร้องที่ขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลหรือไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีนายยิ่งยงเป็นอธิบดี ซึ่งเป็นตัวแทนหรือผู้แทนของกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม คำชี้ขาดของจำเลยที่ 2จะมีผลตามกฎหมายก็ต่อเมื่อนายยิ่งยงได้รับทราบแล้ว นายยิ่งยงรับทราบเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2533 ทั้งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินได้บัญญัติข้อความไว้ว่า “นับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด” หากกฎหมายประสงค์จะให้การส่งคำชี้ขาดถึง ถือว่าได้ทราบคำชี้ขาดแล้วก็เพียงบัญญัติว่า “นับแต่วันแจ้งคำชี้ขาด”ไม่จำเป็นต้องมีคำว่า “ให้ทราบคำชี้ขาด” จึงจะถือว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับทราบคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ในวันที่ 20 เมษายน 2533ไม่ได้ ฉะนั้นการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 22 พฤษภาคม 2533จึงยังไม่หมดสิทธิที่จะนำคดีมาสู่ศาล เห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 31 วรรคแรกบัญญัติไว้ว่า “ผู้รับประเมินผู้ใดไม่พอใจในคำชี้ขาด จะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด” คำว่า”นับแต่วันรับแจ้งความ” มีความหมายว่านับแต่วันส่งคำชี้ขาดไปถึงผู้รับประเมิน หรือนับแต่วันผู้รับประเมินรับคำชี้ขาด ส่วนข้อความตอนท้ายที่ว่า “ให้ทราบคำชี้ขาด” นั้น เป็นเพียงถ้อยคำขยายความให้ชัดเท่านั้น หาได้หมายความเลยไปถึงว่านับแต่วันที่ได้ทราบข้อความในคำชี้ขาดแต่อย่างใดไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน บัญญัติเพียงให้ผู้รับประเมินเท่านั้นที่ไม่พอใจคำชี้ขาดต้องนำคดีมาฟ้องภายใน 30 วัน นับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด ส่วนโจทก์เป็นเพียงผู้มีส่วนได้เสียต้องชำระภาษีโรงเรือนแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า จึงไม่ใช่ผู้รับประเมินซึ่งต้องตกอยู่ในบังคับของบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำชี้ขาดในวันที่23 เมษายน 2533 นั้น เห็นว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวแม้จะใช้คำว่าผู้รับประเมินก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดตามฟ้องแล้ว โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในมาตรา 31ดังกล่าวด้วยกล่าวคือจะต้องนำคดีมาฟ้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับคำชี้ขาด ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องติดตามเอาทรัพย์คืน จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องร้องติดตามเอาทรัพย์คืนภายในกำหนดอายุความ 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความฟ้องร้องนั้นปัญหานี้ไม่ได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวและวินิจฉัยมาในศาลภาษีอากรกลางศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อฟังได้ว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับแจ้งคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2533แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2533 เกินกำหนด 30 วันจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน